Search Mark
หน้าแรก / บทความวิเคราะห์ตลาด

ปี 2023: ตลาดการเงินและเศรษฐกิจ


ปี 2022 กำลังจะจบลงแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดและเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ และดูเหมือนปัญหาจะยังไม่จบลงภายในปีนี้ 

ดูเหมือนจะมีคนทำเป้าหมายของปี 2022 ไม่สำเร็จแล้ว… 

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ตลาดไม่สามารถทำราคาได้สูงไปพร้อมกับภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่ได้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลอยู่ ซึ่งตลาดทำอะไรไม่ได้นอกจากพาปัญหาเหล่านี้ไปต้อนรับปี 2023 ด้วย 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ช่วงต้นปี 2022 

สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าว 11 เดือนที่ผ่านมา อย่ากังวลไป เราสรุปมาให้ทุกคนแล้ว  

เรามาดูสรุปประเด็นสำคัญของตลาดปี 2022 ที่คุณสามารถศึกษาได้ก่อนที่เราจะเข้าปี 2023 กัน 

การเติบโตทางเศรษฐกิจ 

การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2023 

ปี 2022 เป็นปีที่น่าทึ่งและน่าตกใจไปพร้อมกัน ในปี 2020 และ 2021 เป็นปีที่เกิดความผันผวน จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนจะเกิดการรีบาวน์อย่างแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน การเติบโตในปี 2022 จึงมีเสถียรภาพมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ปี 2022 ก็เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรงเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ ทั้งปัญหาด้านอุปสงค์และอุปทานในตลาดแรงงาน ปัญหา Covid-19 รอบที่ 3 รวมไปถึงปัญหารัสเซีย-ยูเครน 

สำหรับปี 2023 นโยบายการเงินแบบเข้มงวดจะเกิดการขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ และธนาคารกลางก็จะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งใน J.P. Morgan Research 28 ประเทศใน 31 ประเทศได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอีกด้วย 

จากแผนที่มีอยู่แล้ว เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสะสมเกือบ 500 bps ภายในไตรมาสแรกของปี 2023 ดูเหมือนว่าสิ่งที่ธนาคารกลางได้ทำค่อนข้างเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองมากกว่าแนวโน้มในปีหน้า เนื่องจากเฟดและธนาคารกลางรายใหญ่คาดว่าจะหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในสิ้นไตรมาสแรกของปี 2023 

ข้อมูลจากการคาดการณ์แนวโน้มตลาดในปี 2023 ของ J.P. Morgan แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของ GDP โลกในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 1.6% คาดว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) จะเติบโตขึ้น 0.8% สหรัฐฯ จะเติบโตขึ้น 1% และยุโรปคาดการเติบโตไว้ที่ 0.2% จีน 4.0% ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ถูกคาดการเติบโตที่ 2.9% ในปี 2023 

“เมื่อฤดูหนาวเข้ามาซ้ำเติมปัญหาโควิดของจีนและวิกฤติพลังงานของยุโรป แนวโน้มการเติบโตทั่วโลกยังคงตกต่ำ แต่เราอาจจะไม่เห็นว่าเศรษฐกิจโลกจะเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเต็มตัวในช่วงต้นปี 2023 ภาวะการเงินตกต่ำยังได้รับผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานที่ลดลง และภาวะช็อกของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Price Shocks)” Bruce Kasman หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและนโยบายของ J.P. Morgan กล่าว 

ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงสู่ระดับ 3.5% ในช่วงต้นปี 2566 หลังจากที่เข้าใกล้ระดับ 10% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 

“สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เราต้องพิจารณาช่วงต่างๆ ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เหตุการณ์สำคัญหนึ่งคือภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ที่จะเกิดก่อนสิ้นปี 2024 แต่ระหว่างเส้นทางนั้น นโยบายของเฟดและสิ่งที่จะเกิดทั่วโลกก็จะแตกต่างกันไป” Kasman พูดเสริม 

ตลาดหุ้น 

ในปีนี้ ตลาดประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจมหภาคและภูมิศาสตร์เป็นอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดตอบสนองในทางลบจนค่าเฉลี่ย price to earnings (P/E) ของดัชนี S&P 500 ลดต่ำลงกว่าค่าเฉลี่ยเดิมถึง 7 ครั้ง ในขณะที่หุ้น Growth stock อาจจะดิ่งลง 70-80% จากระดับสูงสุด 

แม้ว่า หุ้น Fundamental จะฟื้นตัวในภาวะช็อกเหล่านี้ได้ แต่คาดว่าการเติบโตของปีนี้จะไม่เกิดในปี 2023 หุ้น Fundamental มีแนวโน้มที่จะแย่ลง เนื่องจากสภาวะทางการเงินจะต้องเกิดการตึงตัวต่อไปและนโยบายการเงินจะต้องเข้มงวดมากขึ้น 

กล่าวคือ เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแบบอ่อน (Mild Recession) โดยตลาดแรงงานหดตัวและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นอัตราประมาณ 5% 

“ผู้บริโภคที่มีเงินออมจากล็อกดาวน์ได้จะใช้เงินช่วงหลัง Covid เกือบหมดแล้ว และเป็นครั้งแรก ที่พวกเขาได้รับผลกระทบจากสินทรัพย์ทั้งหมดพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ พันธบัตร ตราสารทุน การลงทุนส่วนตัว การลงทุนทางเลือก หรือคริปโต” Dubravko Lakos-Bujas หัวหน้าฝ่าย Global Head of Equity Macro Research ของ J.P. Morgan กล่าว 

“ผลกระทบเหล่านี้จะยังคงส่งผลต่อไปในปีหน้า เนื่องจากผู้บริโภคและบริษัทต่างๆ จะต้องตัดค่าใช้จ่ายและลดการลงทุนลง” 

จากปัจจัยเหล่านี้ J.P. Morgan Research ได้ปรับลดกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ S&P 500 ประจำปี 2023 จาก 225 USD เหลือ 205 USD เนื่องจากอุปสงค์และอำนาจการกำหนดราคาที่ลดลง การบีบอัด Margin เพิ่มเติม และกิจกรรมการซื้อหุ้นคืนที่ลดลง 

ข้อดีและข้อเสียของกรณีนี้จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาของภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความเร็วของเฟดในการตอบโต้  

ตลาดจะยังคงมีความผันผวนสูงอยู่ (โดยดัชนีความผันผวน [Volatility Index] หรือ VIX เฉลี่ยอยู่ที่ 25) 

“ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 เราคาดว่า S&P 500 จะทดสอบจุดต่ำสุดของปี 2022 อีกครั้ง เนื่องจากเฟดเข้มงวดมากเกินท่ามกลางหุ้น fundamental ที่ตกลง ปรากฏการณ์เทขายครั้งนี้ กับภาวะเงินเฟ้อ อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นของบริษัทที่ลดลง น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอให้เฟดที่จะเริ่มส่งสัญญาณกลับตัว ตามมาด้วยการผลักดันการฟื้นตัวของสินทรัพย์และดันดัชนี S&P 500 เป็น 4,200 ภายในสิ้นปี 2023” Lakos-Bujas กล่าว 

แนวโน้มตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ 

จากเมื่อตอนต้นปี 2022 ตลาดน้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มตึงตัวแต่อยู่ในช่วงราคาที่สมดุล โดยน้ำมันดิบเบรนท์มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปีนี้จากการปะทุของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ J.P. Morgan Research ประกาศปรับราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยขึ้นเป็น 104 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2022 แต่คาดว่าจะลดลงเป็น 98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2023 ทั้งนี้ราคาน้ำมันมีจุดราคาสูงสุดที่ 114 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่สองของปี 2022 

“หลังจากเราคงราคาประมาณการณ์ที่ระดับเดิมมาเป็นเวลาแปดเดือน ตอนนี้เราลดค่าประมาณการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2023 ลงไป 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่ากำลังการผลิตของรัสเซียจะกลับสู่ระดับปกติจนถึงระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนภายในกลางปี 2023 แม้จะมีการคาดการณ์ในแง่ลบมากขึ้นเกี่ยวกับดุลการค้าของแต่ละประเทศในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่เราพบว่าแนวโน้มพื้นฐานในตลาดน้ำมันยังมีแรงหนุน และคาดว่าราคามาตรฐานน้ำมันดิบเบรนท์ทั่วโลกจะอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2023 และ 98 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2024” นี่เป็นความเห็นของ Natasha Kaneva, Head of Global Commodities Strategy ของ J.P. Morgan ได้กล่าวไว้ 

จากการวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ J.P. Morgan ได้คาดการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สำหรับปี 2023 ไว้ว่า น้ำมันดิบ Brent จะอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) อยู่ที่ 83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และทองคำอยู่ที่ 1,860 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่สี่ของปี 2023 
 

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกถูกคาดไว้ว่าจะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าเดิม 1.5% ในปี 2023 แต่ก็ยังมีเหตุผลที่ดีที่คาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่งที่ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า รอบวัฏจักรการฟื้นตัวครั้งหน้านี้จะได้รับแรงหนุนจากการปรับอุปสงค์ในด้านเชื้อเพลิงยานยนต์ เช่น น้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันอากาศยานที่จะกลับสู่ระดับปกติอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับก่อนช่วงโควิด 

“การคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ของเราที่ 90 เหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 วิเคราะห์มาจากมุมมองที่ว่ากลุ่ม OPEC+ (องค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน+พันธมิตร) จะทำการปรับราคาน้ำมันเพิ่มเพื่อรักษาสมดุลของตลาดในปีหน้าอย่างแน่นอน” Kaneva กล่าวเสริม 

สำหรับราคาโลหะพื้นฐาน ในปี 2023 นี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยอาจจะมีจุดราคาต่ำสุดที่เป็นราคาทดสอบตลาดอีกครั้งในช่วงกลางงปี 2023 นี้ 

Greg Shearer หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ Base and Precious Metals ของ J.P. Morgan กล่าวว่า “หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงกลางปีไปได้ ราคาโลหะพื้นฐานจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของปี” 

แนวโน้มของโลหะมีค่านั้นจะมีราคาดีกว่าโลหะพื้นฐาน โดยโลหะมีค่าทั้งหมดยกเว้นแพลเลเดียมจะขยับสูงขึ้นตลอดทั้งปี 2023 การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ลดลงจะเป็นตัวผลักดันแนวโน้มที่เป็นบวกสำหรับราคาทองคำและโลหะเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ทั้งนี้ คาดว่าราคาทองคำจะขยับสูงขึ้นในช่วงค่าเฉลี่ยที่ 1,860 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยออนซ์ในไตรมาสที่สี่ของปี 2023 
 
“แม้ทองคำและโลหะเงินจะได้รับการคาดการณ์ในเชิงบวก แต่เราคิดว่าในระยะยาวน่าจะมีแนวโน้มทิศทางราคากลับตัวในปี 2023 การชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงเกินคาดเดาในสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มเเรงซื้อสินทรัพย์ Safe Haven เพิ่มเติม อัตราผลตอบแทนที่ลดลงอย่างมากจากการที่เฟดผ่อนคลายนโยบายการคลังที่เข้มงวดจะทำให้ราคาทองคำและโลหะเงินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” Shearer กล่าวเสริม 

การคาดการณ์สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน 

ในปีนี้ เฟดถูกบีบให้ต้องใช้นโยบายอย่างแข็งขันเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งมีความเข้มงวดมากกว่าทุกรอบในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา 
 

ดังนั้นสำหรับปี 2023 จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่อัตราเงินเฟ้อและนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนมักจะนึกถึงเป็นสิ่งแรกๆ จากแบบสำรวจแนวโน้มตลาดปี 2023 ของ J.P. Morgan Research ผู้ตอบแบบสอบถามจัดอันดับให้ปัจจัยทั้งสองนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ในปี 2023 ตามมาด้วย ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ 

 
ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่บ่งบอกถึงการชะลอตัว เฟดจึงปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 50bps ในเดือนธันวาคม และคาดว่าจะหยุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายหลังจากนั้น 

“การปรับขึ้นดอกเบี้ยรวมทั้งหมดกว่า 500bps นั้นส่งผลให้สภาวะทางการเงินตึงตัวขึ้นพอสมควร ซึ่งเราเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยในปีหน้า ด้วยอุปสงค์โดยรวมที่ชะลอตัว เราคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ภายในสิ้นปีหน้า” Jay Barry หัวหน้า Co-Head ด้าน U.S. Rates Strategy กล่าว 

อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีคาดว่าจะลดลงเหลือ 3.4% ภายในสิ้นปี 2023 และคาดว่าอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงก็จะลดลงไปด้วย  

เมื่อเรามองที่ตลาดสกุลเงิน ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นในปี 2023 แต่การแข็งค่าครั้งนี้จะอยู่ในระดับที่มีปริมาณเล็กน้อยและมีองค์ประกอบที่ต่างจากปี 2022 

การหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวของเฟดน่าจะทำให้เงินดอลลาร์หยุดพักจากการแข็งค่าได้บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำ เช่น สกุลเงินยูโร คาดว่าจะมีความเสี่ยงน้อยลง ซึ่งแตกต่างจากในปี 2022 เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เปลี่ยนโฟกัสไปที่การจัดการกับอัตราการเติบโตของตลาดที่ช้าลงแทน แต่สิ่งนี้กลับจะทำให้กลุ่มสกุลเงินเสี่ยงสูง (High beta currencies) ในตลาดเกิดใหม่มีความเสี่ยงสูงขึ้น 

การเติบโตที่อ่อนแอของดัชนีกลุ่มตลาดนอกสหรัฐฯ จะกลายเป็นปัจจัยหลักของการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ต่อไปในปี 2023 ตามคำกล่าวของ Meera Chandan หัวหน้าร่วมของ Co-Head of Global FX Strategy ของ J.P. Morgan กล่าวว่า “สัญญาณการเติบโตบางอย่างบ่งชี้ถึงราคาที่เกิดการปรับตัวนอกตลาดสหรัฐฯ แต่เรายังคงต้องเฝ้าระวังประเด็นนี้ต่อไปในระยะยาว”  

| เกี่ยวกับ Doo Prime    

เครื่องมือการซื้อขายของเรา     

หลักทรัพย์ | ฟิวเจอร์ส| ฟอเร็กซ์ | โลหะมีค่า | สินค้าโภคภัณฑ์ | ดัชนีหุ้น    

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน     

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก     

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 10 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ     

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก    
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ     

โทรศัพท์     

ยุโรป : +44 11 3733 5199    
เอเชีย : +852 3704 4241    
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415    
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539      

อีเมล    
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]    
ฝ่ายขาย [email protected]    

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)            

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)          

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต           

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้          

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้   

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง    

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย     

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง 

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย    

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล  

แชร์ไปที่

บทความวิเคราะห์ตลาด

S&P 500 สูงขึ้นจากความเห็นเฟด นักวิเคราะห์เตือนอาจเกิด Pullback

ราคาประจำสัปดาห์ที่ผ่านมาของ S&P 500 ปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจที่สุดของปี 2024 โดยทำลายสถิติการลงติดต่อกันสองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อย่างน่าทึ่ง  การฟื้นตัวของวอลล์สตรีทได้รับแรงหนุนมาจากคำมั่นของธนาคารกลางสหรัฐที่ย้ำว่าจะดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยสามครั้งตลอดทั้งปี ซึ่งช่วยลดความกังวลของนักลงทุน  ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อ การตอบสนองอย่างใจเย็นของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ต่อแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อตลาด  แนวโน้มเชิงบวกและการเก็งกำไร  แม้ว่าตลาดหุ้นในวันศุกร์จะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่แนวโน้มโดยรวมของสัปดาห์นี้ยังคงเป็นบวกอย่างปฏิเสธไม่ได้  การเก็งกำไรต่อการลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นได้ในต้นเดือนมิถุนายนได้กระตุ้นให้แรงซื้อในตลาด ส่งผลให้เป็นสัปดาห์ที่ S&P 500 พุ่งขึ้นมากกว่า 2%  ภาวะกระทิงที่แข็งแรงนี้กระตุ้นให้นักวิเคราะห์ปรับเปลี่ยนการคาดการณ์ และจุดประกายให้เกิดการพูดคุยเกี่ยวกับโอกาศในการสะสมของราคาหรือการ Pullback ในระยะสั้น  David Lefkowitz จาก UBS Global Wealth Management เน้นว่า เมื่อพิจารณาจากความเชื่อมั่นและตำแหน่งของราคาที่อยู่ในระดับที่สูง การ Pullback เล็กน้อยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็เป็นไปได้ สถานการณ์ดังกล่าวอาจเปิดโอกาสที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนในการซื้อหุ้นเพิ่มเติม  อิทธิพลของธนาคารกลางสหรัฐ  เนื่องจากข้อมูลทางเศรษฐกิจยังคงผสมผสาน นักลงทุนควรติดตามแถลงการณ์จากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐอย่างใกล้ชิด  ความคิดเห็นของพาวเวลล์ในงาน “Fed Listens” ไม่ได้พูดถึงนโยบายการเงินอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน Michael Barr รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของ Fed ได้บอกเป็นนัยถึงการปรับเปลี่ยนข้อเสนอซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มเงินทุนสำหรับผู้ปล่อยกู้  ผลการดำเนินงานของตลาด  S&P 500 ปิดต่ำกว่าราคา […]

2024-3-26 | บทความวิเคราะห์ตลาด

หุ้นเทคเจอแรงขาย ความคาดหวังการประชุมเฟดทำตลาดหุ้นผันผวน

หุ้นเจอกับแรงขายอย่างหนักท่ามกลางความเหวี่ยงที่ผันผวน  หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาความผันผวนของตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มที่จะลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขายหุ้นในภาคเทคโนโลยี ความผันผวนของตลาดถูกขยายเพิ่มเติมโดยการหมดอายุของสัญญาออปชั่นที่เรียกว่า Triple Witching  เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากสัญญามูลค่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะหมดอายุ ทำให้เกิดความท้าทายในการคาดการณ์ทิศทางของตลาด ตามที่นักวิเคราะห์เตือน  การคาดการณ์นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการตอบสนองของตลาด  ความคาดหวังเกี่ยวกับการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐก็มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นของตลาดเช่นกัน การคาดเดาเกี่ยวกับขอบเขตของการผ่อนคลายดอกเบี้ยจะส่งสัญญาณถึงปี 2567 ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ  ทั้ง S&P 500 และ Nasdaq 100 เกิดแรงขาย โดย Adobe Inc. รายงานแนวโน้มยอดขายที่ซบเซา แม้ว่า Nvidia Corp. จะได้รับผลกำไรจากงานประชุม AI  ความผันผวนของตลาดตราสารหนี้ท่ามกลางตัวเลขทางเศรษฐกิจ  ในขณะเดียวกัน พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีเผชิญกับสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดของปี ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเผยให้เห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างที่ไม่คาดคิด ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวล  การเก็งกำไรและการปรับความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ย  การเก็งกำไรเกี่ยวกับการตัดสินใจในอนาคตของ Fed ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เทรดเดอร์ต้องปรับเปลี่ยนการเดิมพันต่อจังหวะเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น  นักเศรษฐศาสตร์ได้แก้ไขการคาดการณ์ โดยขณะนี้คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 อยู่ที่ 75 จุด ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 125 […]

2024-3-19 | บทความวิเคราะห์ตลาด

เทรดเดอร์กังวลหุ้นร่วง พร้อมตัวเลขการจ้างงานออกมาผสมผสาน 

ผลกระทบจากตัวเลขการจ้างงานแบบผสมผสาน  หุ้นสหรัฐฯ ในวอลล์สตรีทมีแนวโน้มขาลง เนื่องจากเทรดเดอร์คาดการณ์ว่าแนวโน้มขาขึ้นที่เกิดติดต่อกันหลายครั้งนี้ อาจเป็นการเคลื่อนไหวที่เลยเถิดเกินไป การลดลงเกิดขึ้นพร้อมกับการเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่ออกมาแบบผสมผสาน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน  ตัวเลขรายงานการจ้างงาน  ตามรายงานของสำนักงานสถิติแรงงาน การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 275,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว แต่ควบคู่ไปกับการปรับลดตำแหน่งงาน 167,000 ตำแหน่งจากสองเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% สู่ระดับสูงสุดในรอบสองปี  จุดอ่อนของภาคเทคโนโลยีและโมเมนตัมของตลาด  ความอ่อนแอในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง Nvidia และ Tesla  มีส่วนทำให้ตลาดโดยรวมลดลง ความกังวลเกิดขึ้นว่าตลาดีมีแรงซื้อมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการเพิ่มขึ้นของ S&P 500 ในปัจจุบัน ส่งผลให้นักวิเคราะห์ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของหุ้น  ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Nasdaq ร่วงลง 1.2% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ร่วงลง 0.9% และ 0.3% ตามลำดับ   และนี่คือราคาปิดตลาดของแต่ละดัชนีในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2567 Index  Last  Change  %Change  DOW JONES   […]

2024-3-11 | บทความวิเคราะห์ตลาด