แถลงการณ์ประชุมธนาคารกลางสหรัฐเดือน ม.ค. 2565

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงในวันพุธที่ 26 ม.ค.ตามเวลาสหรัฐ โดยระบุว่า สัญญาณบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังคงมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อภาคส่วนเหล่านี้

ตัวเลขการจ้างงานปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และอัตราว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาวะไร้สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ซึ่งเป็นผลมาจากโรคระบาด รวมทั้งการเปิดเศรษฐกิจนั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงมาตรการด้านนโยบายต่างๆ ที่สนับสนุนเศรษฐกิจ และการจัดสรรสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของสหรัฐ สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้านั้น ยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
โควิด-19 โดยคณะกรรมการคาดว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและภาวะติดขัดด้านอุปทานที่เริ่มบรรเทาลงนั้น จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน
อีกทั้งช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงเผชิญกับความเสี่ยง ซึ่งรวมถึงการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่

คณะกรรมการ FOMC พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว คณะกรรมการได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และจากการที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% และตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง ทางคณะกรรมการจึงคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับขึ้นกรอบเป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Federal Funs Rate) ขณะเดียวกันคณะกรรมการได้ตัดสินใจที่จะยังคงปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งจะส่งผลให้โครงการดังกล่าวยุติลงในเดือนมี.ค.

นับตั้งแต่เดือนก.พ.นี้ คณะกรรมการจะเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอีกอย่างน้อย 2 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) อย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน คณะกรรมการคาดว่าการซื้อและการถือครองสินทรัพย์เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดต่าง ๆ ดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น และช่วยสนับสนุนภาวะด้านการเงินให้เป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะช่วยให้สินเชื่อไหลเวียนไปสู่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ

ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการจะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการจะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ของคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการจะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้านสาธารณสุข ภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน และสถานการณ์ในต่างประเทศ

สำหรับกรรมการเฟดผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ เจอโรม เอช พาวเวล ประธานเฟด, จอห์น ซี วิลเลียมส์ รองประธานเฟด, มิเชล ดับเบิลยู โบวแมน, ลาเอล เบรนาร์ด, เจมส์ บุลลาร์ด, เอสเธอร์ แอล จอร์จ, แพทริค ฮาร์เกอร์, ลอเร็ตตา เจ เมสเตอร์ และคริสโตเฟอร์ เจ วอลเลอร์

อ้างอิง: ryt9.com

ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัว หลังพาวเวลล์แถลงเตรียมลด QE มีนาคม

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทรงตัวในวันพฤหัสบดี หลังจากขาดทุนในเซสชั่นก่อนหน้านี้ เนื่องจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บอกเป็นนัยว่ามีโอากาสมากมายที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่กระทบต่อการจ้างงาน กระตุ้นความคาดหวังว่าแผนของเฟดจะกระชับนโยบายขึ้น มาตรการนโยบายการเงินอาจรุนแรงเกินคาด

ในวันพุธ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 129.64 จุดหรือ 0.38% S&P 500 ลดลง 6.54 จุดหรือ 0.15% ที่ 4349.92 ขณะที่ nasdaq ปิดขึ้นเพียง 0.02% ที่ 13542.12

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดาวโจนส์ เพิ่ม 0.33%, สัญญาซื้อขายล่วงหน้า S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.48% และ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า Nasdaq 100 ได้รับ 0.78%

ในบรรดาหุ้น หุ้นเติบโตยังคงได้รับผลกระทบท่ามกลางผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่เพิ่มขึ้น โดย Block Inc (NYSE:SQ) ลดลง 3.73%, Amazon.com Inc (NASDAQ:AMZN) ลดลง 0.8 %, Apple Inc (NASDAQ:AAPL) ลดลง 0.06% และ Meta Platforms Inc (NASDAQ:FB) ลดลง 1.84%

หุ้นทางการเงินหนุนโดย JPMorgan Chase & Co (NYSE:JPM) เพิ่มขึ้น 0.95%, Citizens Financial Group Inc (NYSE:CFG) เพิ่มขึ้น 1.01%, Bank of America Corp (NYSE:{ {243|BAC}}) เพิ่มขึ้น 1.03% Citigroup Inc (NYSE:C) เพิ่มขึ้น 1% และ Wells Fargo & Company (NYSE:WFC) เพิ่มขึ้น 1.03%

บริษัท Tesla Inc (NASDAQ:TSLA) เพิ่มขึ้น 0.06% หลังจาก รายงานผลประกอบการ ที่แข็งแกร่ง รายรับเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสนี้ ขณะที่รายรับจากยานยนต์มีมูลค่า 15.97 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 71% รายงานยังระบุถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงมีอยู่ตลอดปี 2022

Intel Corporation (NASDAQ:INTC) ลดลง 2.26% แม้จะรายงาน ผลประกอบการ ออกมาดีเกินคาด

Netflix Inc (NASDAQ:NFLX) ดีดตัวขึ้น 4.7% จากข่าวที่ว่า บิลล์ แอคแมน ของ Pershing ซื้อหุ้น 3.1 ล้านหุ้น

ในข่าวนโยบาย ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่าอีกไม่นานอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในวงกว้าง อัตราผลตอบแทน พันธบัตรสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 1.873%

อ้างอิง: th.investing.com

หุ้นเอเชียปรับตัวลง หลังความเคลื่อนไหวของเฟด “เป็นไปตามคาด”

หุ้นเอเชียแปซิฟิกร่วงลงในเช้าวันพฤหัสบดี โดยพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลง นักลงทุนได้รับข้อมูลจาก เจอโรม พาวเวลล์}ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม 2022 แล้วข้อมูลอื่น ๆ อีกบางส่วน

• Nikkei 225 ของญี่ปุ่นลดลง 2.47% เมื่อเวลา 21:20 น. ET (2:20 น. GMT)
• เกาหลีใต้ KOSPI ลดลง 2.94% โดย Samsung Electronics (OTC: SSNLF) ) Co. Ltd. (KS: 005930) พลาดเป้าผลประกอบการ
• ASX 200 ในออสเตรเลีย ลดลง 2.75% หลังกลับมาจากวันหยุด
• ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกงลดลง 2.11%
• ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ของจีนลดลง 0.69%
• ดัชนีองค์ประกอบ SZSE ลดลง 0.29%

ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคของนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้น 1.4% ไตรมาสต่อไตรมาส และ 5.9% ปีต่อปี ในไตรมาสที่สี่ของปี 2021

หุ้นสหรัฐฯ ที่กำไรหดหายในเซสชั่นก่อนหน้า ขยับขึ้นในคืนที่ผ่านมา เกณฑ์มาตรฐาน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 1.85% และระหว่างห่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5-30 ปีเกือบจะแคบที่สุดนับตั้งแต่ ต้นปี 2019

ความเห็นของพาวเวลล์เป็นไปตามการตัดสินใจนโยบายล่าสุดของเฟดเมื่อวันพุธ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุตารางเวลาที่แน่นอนก็ตาม พาวเวลล์เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกลางในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดย Fed มีแนวโน้มที่จะเริ่มลดสินทรัพย์ลงหลังจากต้นทุนการกู้ยืมไต่ระดับ

ความเป็นไปได้ที่นโยบายการเงินของเฟดใกล้จะเกิดขึ้นได้ผลักดันให้มีการขายหุ้นและพันธบัตรในปี 2022 จนถึงปัจจุบัน นักลงทุนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับธนาคารกลางที่ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโควิด-19 แต่ยังชั่งน้ำหนักความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย

การประชุมของเฟด “ดำเนินไปอย่างกระฉับกระเฉงกว่าที่เราคาดไว้” สตีเวน อิงแลนเดอร์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย G-10 FX สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (OTC: SCBFF) กล่าวในหมายเหตุ

“แถลงการณ์ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ แต่พาวเวลล์เน้นย้ำความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ โดยชี้ไปที่การถอนนโยบายอย่างต่อเนื่อง”

ธนาคารกลางของแอฟริกาใต้ จะส่งมอบการตัดสินใจด้านนโยบายในวันเดียวกัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอข้อมูลของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง GDP และคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ครบกำหนดประกาศในวันเดียวกัน

ด้านข่าวอื่น ๆ ผลกำไรของบริษัท Tesla Inc. (NASDAQ: TSLA) สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่หุ้นกลับผันผวน หลังจากที่บริษัทกล่าวว่าปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะจำกัดการส่งออก

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ตอบกลับรัสเซียเกี่ยวกับความตึงเครียดในยูเครน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การตอบสนองดังกล่าวเป็น “เส้นทางทางการทูตที่พัฒนาไปข้างหน้า” แม้ว่าจะปฏิเสธข้อเรียกร้องที่สำคัญบางประการของรัสเซียก็ตาม

อ้างอิง: th.investing.com

ทอง COMEX ร่วง 22.8 เหรียญ หลังนลท.เทขายทองก่อนรู้ผลประชุมเฟด

ทอง COMEX ปิดร่วง 22.8 เหรียญ หลังนลท.เทขายทองก่อนรู้ผลประชุมเฟด ที่ประกาศหลังตลาดปิด ขณะที่ตัวเลขศก.สหรัฐ ที่แข็งแกร่งกดดันทองคำอีกทางหนึ่ง

รายงานข่าวจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า สัญญาทองคำตลาด Commodity Exchange (COMEX) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 22.8 ดอลลาร์ หรือ 1.23% ปิดที่ 1,829.7 ดอลลาร์/ออนซ์

นักลงทุนเทขายทองคำก่อนที่จะรู้ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดทองคำนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายก่อนที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) จะแถลงมติอัตราดอกเบี้ย

โดยหลังจากตลาดทองคำปิดทำการ เฟดได้แถลงผลการประชุมว่า คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.00-0.25% และยังคงปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ซึ่ง QE จะสิ้นสุดลงในเดือนมี.ค. พร้อมกับการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าวเช่นกัน

อีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันราคาทองคำ คือข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 11.9% สู่ระดับ 811,000 ยูนิต สูงสุดในรอบ 9 เดือน

อ้างอิง: efinancethai.com