รายงานการจ้างงานและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

2022-03-07 | Expert Opinion , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์

บทความวิคราะห์เศรษฐกิจรายสัปดาห์

หุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงในวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากได้รับข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ โดยมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.8% โดยมีการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 678,000 (ประมาณการ 423,000) รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากกุมภาพันธ์โดยเพิ่มขึ้น 5.1% จากปีที่แล้ว ทำให้เกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ

แต่ข่าวรัสเซียบุกยูเครนก็กลับมาเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากมีสัญญาณของปฏิบัติการที่อาจเหนือการควบคุม ทั้งยังมีเพลิงไหม้ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แม้จะอยู่นอกพื้นที่เตาปฏิกรณ์ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของนิวเคลียร์แต่ก็ส่งผลต่อการขายในตลาดอย่างมาก

ทำให้สหรัฐฯ พิจารณาการห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ซึ่งเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นราว 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และทำให้เป็นปัญหาให้กับเงินเฟ้อมากขึ้น โดยสำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา Dow และ S&P ต่างก็ตกลง 1.3% ในขณะที่ Nasdaq ตกลง 2.8%

สรุปภาพรวมตลาดในวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ดังนี้ 

 มูลค่าปิดตลาด
(จุด)
ค่าการเปลี่ยนแปลง
(จุด)
คิดเป็น
%
Dow Jones 33,614.80-179.86 -0.53%
S&P 500 4,328.87-34.62 -0.79%
Nasdaq Comp 13,313.44-224.50-1.66% 
U.S. 10Y 1.73%  
VIX 31.98+1.50 +4.92%

นาย เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด รับประกันการปรับขึ้น 25 จุดในการประชุมครั้งต่อไป พร้อมเสริมว่า หากอัตราเงินเฟ้อไม่ลดลงและยังลดงบดุลในปีนี้ พวกเขาก็พร้อมดำเนินนโยบายเพิ่มมากกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเป็นตลาดกระทิง ในขณะที่บางคนหวังว่าเฟดจะระงับนโยบายเนื่องจากสงคราม

ในแง่ของสงครามในยูเครน รัสเซียดูเหมือนจะไม่ต้องการถอยกลับโดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย ส่วนการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้นก็เกิดความเสียหายต่อต่อเศรษฐกิจของรัสเซีย ซึ่งประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีมีร์ ปูติน ก็ยังไม่มีทีท่าในการเปลี่ยนใจ อาจเพราะจะทำให้เสียหน้าอย่างหนัก หลายคนพูดว่าการปฎิบัติการทางทหารในครั้งนี้คือความภาคภูมิใจ และแน่นอนว่าเขาให้ความสำคัญกับมันมากกว่าเศรษฐกิจในประเทศ และดูเหมือนว่ารัสเซียจะไม่ได้คาดหวังการต่อต้านดังกล่าวจากยูเครน และด้วยสหรัฐฯ และบางประเทศในยุโรปที่เสนออาวุธและเครื่องบินเจ็ตให้กับยูเครน จึงทำให้รัสเซียหงุดหงิดมากขึ้น และแน่นอนว่าทำให้ไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ต่อไปได้เลย

ซึ่งก็คาดเดาได้ไม่ยากจากภาวะขึ้นๆ ลงๆ ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ จะเป็นเหตุให้เกิดภาวะตลาดผันผวนตามมาในระยะเวลาไม่นาน หากพูดถึงการวิเคราะห์ด้านเทคนิคก็มีการส่งสัญญาณในด้านลบเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้ารัสเซียจะถอนตัวออกจากยูเครนก็ไม่ควรตื่นเต้นกับการ Rally ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผันผวนนี้

อ้างอิง: CBOE, Reuters, Bloomberg
บทความโดย James Gomes ผู้คร่ำหวอดในวงการการเงินมากว่า 30 ปี โดยทำงานกับธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มานานกว่า 20 ปี 

ประกาศความไม่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 
แม้ว่า DOO Group จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารหรือบทความนี้ แต่จะไม่รับรองหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้ และ DOO Group จะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการใช้เอกสารหรือบทความนี้ เนื้อหาในเอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปและเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาเท่านั้น ซึ่งบทความนี้ไม่ใช่และไม่ควรตีความ
ว่าเป็นข้อเสนอในการซื้อหรือขาย หรือเป็นการชักชวนให้เสนอซื้อหรือขายหลักทรัพย์
ฟิวเจอร์ส ออปชั่น พันธบัตรหรือเครื่องมือทางการเงินหรือการลงทุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารหรือบทคามนี้ไม่ควรใช้เป็นการแนะนำหรือให้การลงทุนหรือคำแนะนำอื่นใดเกี่ยวกับการซื้อ การขาย หรือการจำหน่ายตราสารทางการเงิน ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หรือผลิตภัณฑ์ หลักทรัพย์ หรือการลงทุนอื่นใด การตัดสินใจลงทุนในเครื่องมือทางการเงิน ผลิตภัณฑ์
ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ หลักทรัพย์หรือการลงทุนไม่ควรทำโดย
อาศัยข้อความใด ๆ ในเอกสารนี้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรขอ
คำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินของตนเองโดยคำนึงถึงความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละคน และพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจลงทุนดังกล่าวอย่างรอบคอบ

DOO Group และบริษัทในเครือจะไม่รับผิดชอบต่อการตัดสินใจหรือการดำเนินการใดๆ โดยอาศัยข้อมูลในเอกสารหรือบทความนี้ และในกรณีใด ๆ DOO Group และบริษัทในเครือจะไม่รับผิดต่อความเสียหายที่เป็นผลสืบเนื่อง ทั้งโดยบังเอิญ โดยอ้อม หรือผลคล้ายกันที่เกิดขึ้นจากความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวข้องกับเอกสารหรือบทความนี้ แม้ว่าจะได้แจ้งถึงความเป็นไปได้ของความเสียหายดังกล่าวแล้วก็ตาม

เอกสารนี้หรือบทความนี้มีข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่รวมอยู่ในเอกสารนี้อิงตามการคาดการณ์ในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายประการ ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเหล่านี้อิงจากการวิเคราะห์ของ DOO Group
จากสถิติที่มีอยู่ สมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวข้องกับการตัดสินที่เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจในอนาคต การแข่งขันและตลาดในอนาคตซึ่งทั้งหมดนี้เป็น
ไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์อย่างแม่นยำ เนื่องด้วยความไม่แน่นอนที่มีนัยสำคัญซึ่งมีอยู่ใน
ข้อมูลเชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่รวมอยู่ในที่นี้ การรวมข้อมูลดังกล่าวไม่ควรถือเป็นการแสดงโดย DOO Group ว่าจะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง DOO Group ขอแจ้งว่าให้ทราบว่าไม่ควรไว้วางใจในแถลงการณ์ที่เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้ามากเกินไป และไม่รับผิดชอบต่อการปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ การแสดงความเห็นเป็นของผู้เขียนและอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ

เอกสารนี้ถือเป็นความลับกับผู้อ่านและข้อมูลนี้มีการจัดหาเพียงเพื่อข้อมูลเท่านั้นและไม่สามารถทำซ้ำ แจกจ่ายซ้ำ หรือส่งต่อ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไปยังบุคคลอื่นหรือเผยแพร่ทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ ห้ามนำหรือส่งเอกสารนี้หรือสำเนาใด ๆ ไปยังสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา หรือแจกจ่ายโดยตรงหรือโดยอ้อมในสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายเอกสารนี้ในเขตอำนาจศาลอื่นอาจถูกจำกัดโดยกฎหมาย และบุคคลที่ครอบครองเอกสารนี้ควรแจ้งตนเองและปฏิบัติตามข้อจำกัดดังกล่าว การยอมรับรายงานนี้แสดงว่าคุณตกลงผูกพันตามคำแนะนำข้างต้น

IconBrandElement

article-thumbnail

2025-10-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ราคาทองคำดิ่งแรง: กระทิงทองสิ้นสุดแล้วหรือยัง 

ราคาทองคำกำลังร่วงลงอย่างรวดเร็ว หลังจากทำกำไรต่อเนื่องมาหลายเดือน ตอนนี้โลหะมีค่าชนิดนี้กำลังเผชิญกับการปรับฐานครั้งใหญ่ นักเทรดทั่วโลกต่างตั้งคำถามเดียวกันว่า ทำไมราคาทองถึงร่วง  ในมุมแรกอาจดูเหมือนเป็นเพียงการย่อตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป แต่ลึกลงไปใต้พื้นผิวนั้น มีบางสิ่งที่ใหญ่กว่ากำลังเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องระดับโลก ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมทางการเงิน  เรามาดูกันว่า อะไรกันแน่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนราคาทองคำในปี 2025 ทำไมจีนและธนาคารกลางหลายประเทศยังคงสะสมทองคำ และการเทขายครั้งนี้เป็นเพียงความตื่นตระหนกระยะสั้น หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่ลึกกว่านั้น  เรื่องราว 10 ปีของทองคำ: จากสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ สู่สินทรัพย์ค้ำประกันสภาพคล่อง  ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทองคำได้เปลี่ยนจากบทบาทสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อแบบเดิม กลายมาเป็น สินทรัพย์หลักที่ค้ำจุนสภาพคล่องของระบบการเงินโลก  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ราคาทองคำยังคงทรงตัวอย่างน่าทึ่งตลอดทศวรรษ 2020 แม้ต้องเผชิญกับการขึ้นดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่กระแสของบิตคอยน์ก็ตาม  แต่การร่วงของราคาทองคำในปัจจุบัน ไม่ได้มาจากอุปสงค์ที่ลดลง แต่เกิดจากแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระบบการเงินโลก เมื่อนักลงทุนเทขายทองคำ ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะต้องการแปลงสินทรัพย์เพื่อชำระมาร์จิ้น หรือปรับพอร์ตเข้าสู่เงินสด ไม่ใช่เพราะพวกเขาหมดศรัทธาในทองคำ  ดังนั้น การเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การล่มของทองคำ” อาจไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริงของตลาด  มุมมองทองคำและนโยบาย Reverse Repo ของเฟด  ราคาทองคำในตอนนี้สะท้อนสิ่งที่ลึกกว่าการตอบสนองต่อเงินเฟ้อธรรมดา  เมื่อปริมาณเงินในโครงการ Reverse Repo ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นกลไกให้ธนาคารและกองทุนพักเงินสดค้างคืน เริ่มลดลงจนเกือบแตะศูนย์ ราคาทองคำก็เริ่มพุ่งขึ้นทันที  และเมื่อยอดเงินดังกล่าวหายไปเกือบหมด ราคาทองคำก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทำไมถึงเกิดแบบนี้ เพราะเมื่อระบบการเงินขาดสภาพคล่องที่พักอยู่ในระบบ สินทรัพย์ค้ำประกันในรูปกระดาษเริ่มสั่นคลอน และเงินทุนจะไหลไปหาสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าอย่าง ทองคำ ซึ่งไม่สามารถผิดนัดชำระได้  ทองคำในตอนนี้จึงไม่ใช่เพียงสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็น สินทรัพย์ค้ำประกันคุณภาพสูงสุด หรือสินทรัพย์สุดท้ายที่ระบบการเงินยังคงเชื่อมั่น  โลกกำลังส่งสัญญาณเงียบๆ ว่า หากระบบดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันเกิดรอยร้าว ทองคำนี่แหละคือสิ่งที่ยังคงมีมูลค่า  การเปลี่ยนแปลงนี้อธิบายได้ว่าทำไม มูลค่าตลาดของทองคำ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะมีการปรับฐานระยะสั้น มันไม่ใช่เรื่องของการไล่ล่ากำไรอีกต่อไป แต่คือการปกป้องความมั่งคั่งจากระบบที่กำลังเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ  ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง  ขณะที่นักเทรดรายย่อยตื่นตระหนกกับราคาทองที่ร่วงลง ธนาคารกลางกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม พวกเขายังคงเข้าซื้อทองคำอย่างไม่เคยมีมาก่อน  จากข้อมูลล่าสุด ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเฉลี่ยต่อปีราว 830 ตันในปี 2025  เฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เพียงอย่างเดียว มีถึง 23 ประเทศที่เพิ่มปริมาณสำรองทองคำของตนเอง ซึ่งมากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยที่เคยเห็นระหว่างปี 2011 ถึง 2021 และนี่ถือเป็น ปีที่สี่ติดต่อกัน ที่การถือครองทองคำของธนาคารกลางอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์  ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำ 1,080 ตันในปี 2022, 1,051 ตันในปี 2023 และ 1,089 ตันในปี 2024 และในปี 2025 แนวโน้มยังคงต่อเนื่องเข้าสู่ ปีที่ 16 ติดต่อกันของการซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้  ก่อนปี 2010 ธนาคารกลางเคยเป็น “ผู้ขายสุทธิ” ทองคำติดต่อกันถึง 21 ปี แต่ปัจจุบันพวกเขาแทบหยุดซื้อไม่ได้เลย  สาเหตุสำคัญคือความเชื่อมั่นในระบบการเงินกระแสหลักเริ่มลดลง ทองคำไม่ใช่หนี้สินของใคร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวอชิงตัน ปักกิ่ง หรือธนาคารกลางยุโรป (ECB)  เมื่อรัฐบาลกระจายความเสี่ยงในเงินสำรอง พวกเขาไม่ได้ “ไล่ราคาทอง” แต่กำลัง “ซื้อประกันทางการเงิน” ต่างหาก  ดังนั้นการเรียกสถานการณ์นี้ว่า “วิกฤตราคาทองคำ” อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะแม้ราคาจะดูเหมือนลดลงบนกราฟ แต่ความเป็นเจ้าของทองคำกำลังเปลี่ยนจากนักเทรดรายย่อยไปสู่คลังสมบัติของรัฐบาลอย่างเงียบๆ  จีนยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้ตลาดกำลังเทขาย  หากคุณสงสัยว่าทำไมราคาทองคำถึงร่วง ทั้งที่ความต้องการดูเหมือนยังสูงลิ่ว คำตอบอยู่ที่กระแสเงินระยะสั้น เพราะความต้องการจากจีนกำลังพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด  ข้อมูลจากตลาดทองเซี่ยงไฮ้ระบุว่า ใบรับประกันทองคำ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 86,565 กิโลกรัมในเดือนตุลาคม 2025 เพิ่มขึ้นถึง 27 เท่าจากปี 2024 และสูงกว่า 550% ภายในปีนี้เพียงปีเดียว  นี่ไม่ใช่การเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย แต่เป็นการที่ จีนกำลังสะสมสินทรัพย์จริง ท่ามกลางกระแสการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ที่กำลังขยายตัวทั่วโลก  ขนาดของอุปสงค์ในครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่นักเทรดฝั่งตะวันตกทยอยหมุนเวียนเงินออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จีนกลับดูดซับอุปทานเหล่านั้นเข้าสู่การถือครองระยะยาว  กล่าวอีกนัยหนึ่ง การร่วงของราคาทองคำในตอนนี้อาจเป็นเพียง การปรับฐานชั่วคราว สิ่งที่ดูเหมือน “ความอ่อนแอของราคา” อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของทองคำจากนักลงทุนต่างชาติไปสู่การถือครองของประเทศขนาดใหญ่แทน  การวิเคราะห์ทางเทคนิคของทองคำ: ทิศทางต่อไปคืออะไร  จากมุมมองทางเทคนิค ราคาทองคำเพิ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลใกล้ 4,300 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงต่ำกว่า 4,000 ดอลลาร์การกลับตัวอย่างรวดเร็วนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักเทรด และกระตุ้นให้เกิดการขายแบบอัตโนมัติในวงกว้าง   อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 30% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตลาดจำเป็นต้อง “พักหายใจ” แม้แต่เทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่งก็ต้องปรับฐานก่อนขึ้นต่อในรอบถัดไป  ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงยืนเหนือโซน 3,400–3,500 ดอลลาร์ โครงสร้างโดยรวมของตลาดยังคงแสดงถึงเสถียรภาพในระยะยาว  ความผันผวนลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นปกติในช่วงที่ตลาดเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ในทุกครั้งที่ราคาทองคำย่อตัวตั้งแต่ปี 2018 ไม่ว่าจะเป็นจากสงครามการค้า วิกฤตโรคระบาด หรือช็อกราคาในตลาด ทองคำมักสร้างฐานใหม่ก่อนดีดขึ้นอีกครั้ง  ด้วยเหตุนี้เอง นักวิเคราะห์ที่ติดตาม แนวโน้มราคาทองคำในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงยังไม่รีบประกาศว่ารอบตลาดขาขึ้นของทองคำได้สิ้นสุดลงแล้ว  บทบาทใหม่ของทองคำในระบบเศรษฐกิจโลก  เรื่องราวของทองคำในปี 2025 ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่เครื่องประดับหรือเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ความเชื่อมั่น หลักประกัน และการคงอยู่ทางการเงิน  เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ราคาทองคำที่ปรับค่าเงินเฟ้อแล้วยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แม้ในช่วงภาวะถดถอย ทองคำก็มักทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ที่รักษาเสถียรภาพของตลาด ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งใน การลงทุนไม่เสื่อมค่าจากเงินเฟ้อ ที่แทบจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ประเภทในตลาดโลก  เมื่อกระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ทองคำหนึ่งตันมีมูลค่าเท่าไร” แต่คือ “ทองคำหนึ่งตันสะท้อนความเชื่อมั่นมากแค่ไหน”  ตั้งแต่ ราคาทองคำในปี 1980 จนถึง การคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2030 ความจริงข้อหนึ่งยังคงเดิมเสมอ ทุกครั้งที่ระบบการเงินเกิดรอยร้าว ทองคำจะถูกประเมินมูลค่าใหม่ให้สูงขึ้นในเชิงมูลค่าที่แท้จริง  ราคาทองคำจะฟื้นตัวหรือไม่  คำตอบสั้นๆ คือ ทองคำไม่จำเป็นต้อง “ฟื้นตัว” เพราะสิ่งที่ต้องฟื้นคือโลกต่างหาก ทุกครั้งที่สภาพคล่องในระบบการเงินตึงตัว ทองคำจะกลายเป็นกระจกสะท้อนสภาวะนั้นโดยตรง  เมื่อสินทรัพย์กระดาษสั่นคลอน ทองคำจะเปล่งประกาย บางครั้งอย่างเงียบๆ และบางครั้งก็อย่างรุนแรง ดังนั้นคำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นหรือลง” แต่คือ “ทองคำกำลังส่งสัญญาณอะไรให้กับโลกในเวลานี้”  ไม่ว่าคุณจะจับตา การถือครองทองคำของจีน เงินสำรองของธนาคารกลาง หรือกระแสการไหลเวียนของทองคำในตลาดโลก รูปแบบที่เห็นคือสิ่งเดียวกัน เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน การสะสมทองคำก็เริ่มต้นขึ้น  ดังนั้น แม้ราคาทองคำบนกราฟอาจดูเหมือนกำลังร่วง แต่ภายใต้พื้นผิวนั้น รากฐานใหม่ของความเชื่อมั่นระดับโลกกำลังถูกสร้างขึ้นทีละแท่งทองคำ 

article-thumbnail

2025-10-30 | สารจาก D Prime

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯ รอบวันที่ 31 ตุลาคม 2568 

เราขอแจ้งให้คุณทราบว่า จะมีการปรับข้อ กำหนดด้านมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯหลายรายการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ  เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประกาศผลประกอบการ อัตราหลักประกันสำหรับหุ้นที่ระบุด้านล่างจะถูกปรับชั่วคราวเป็น 20% (เลเวอเรจ 1:5) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ก่อนเวลา 20:30 น. (UTC+7)   วิธีการดำเนินการ  การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า คุณจะต้องวางหลักประกันเท่ากับ 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากับการลดเลเวอเรจเป็น 1:5 การปรับนี้มีขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการประกาศผลประกอบการ  หุ้นที่ได้รับผลกระทบ – รอบปัจจุบัน  ชื่อหุ้น  สัญลักษณ์  วันที่ประกาศผลประกอบการ  Pfizer Inc  PFE  31/10/2568  Uber Technologies Inc  UBER  Robinhood Markets Inc  HOOD  Beyond Meat Inc  BYND  QUALCOMM Inc  QCOM  ConocoPhillips  COP  สิ่งที่คุณควรดำเนินการ  หากคุณถือสถานะใน CFDs หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบ:  หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนี้ หรือหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทีมสนับสนุนของเราได้ทุกเมื่อ 

article-thumbnail

2025-10-27 | ข่าวสาร D Prime

ปริมาณการเทรดของ D Prime เพิ่มขึ้น 37% ในเดือนกันยายน 2025  

เดือนกันยายนถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของ D Prime และเหล่านักเทรดทั่วโลก ท่ามกลางความผันผวนของตลาดและกระแสข่าวระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กิจกรรมการเทรดพุ่งสูงแตะระดับใหม่ D Prime บันทึกปริมาณการเทรดรวม 191.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในตลาดที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   สรุปปริมาณการเทรดเดือนกันยายน 2025  ทั้งปริมาณการเทรดรวมและปริมาณการเทรดเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนกันยายน แสดงให้เห็นถึงแรงขับเคลื่อนของตลาดที่แข็งแกร่งและการมีส่วนร่วมของนักเทรดในผลิตภัณฑ์หลักที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก  ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดในเดือนกันยายน  ตลาดมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักตลอดเดือนกันยายน โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดเบสิก ยืนยันมุมมองของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การตัดสินใจดังกล่าวช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและหนุนให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น  ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง ส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น ทองคำจึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดของเดือน โดยราคาพุ่งทะลุ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดใหม่  คู่สกุลเงิน XAU/USD มีปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นประมาณ 54.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตมากที่สุดในเดือนกันยายน สะท้อนถึงความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมและแนวโน้มตลาด  ทองคำไม่ใช่เพียงสินทรัพย์เดียวที่ได้รับความสนใจจากนักเทรดในเดือนกันยายน นอกจาก XAU/USD แล้ว คู่สกุลเงิน EUR/USD, GBP/USD, US30 และ NAS100 ยังติดอันดับผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่มีปริมาณการเทรดสูงสุดด้วย  นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมของนักเทรด โดย NAS100 ได้ก้าวเข้าสู่ 5 อันดับสินค้าที่มีการเทรดมากที่สุด แทนที่ BTC/USD จากเดือนก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่านักเทรดกำลังมองหาการกระจายความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น และเปิดรับโอกาสใหม่ในดัชนีหุ้น  ความแข็งแกร่งและแรงส่งต่อเนื่องในอนาคต  แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่ D Prime ยังคงมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์การเทรดที่มั่นคง มีประสิทธิภาพ และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยปริมาณการเทรดรวมของแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น 48.85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แสดงถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก  ในขณะที่ตลาดยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง D Prime ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถรับมือกับทุกโอกาสได้อย่างมั่นใจ ผ่านการมอบข้อมูลเชิงลึก เครื่องมือ และการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระยะยาว