Search Mark
หน้าแรก / บทความวิเคราะห์ตลาด

เปิดฉากสงครามราคาตลาด EV จีนและเทสลา แข่งขันตัดราคาอย่างดุเดือดเพื่อกระตุ้นยอดขาย


ในปี 2022 ผู้ผลิตรถยนต์ที่นำโดยอีลอน มัสก์ (Elon Musk) พลาดเป้าในการส่งมอบรถยนต์ 50% ต่อปี เนื่องจากเกิดปัญหากับ Supply Chain และความต้องการซื้อที่ชะลอตัวเนื่องจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มมากขึ้น 

ถึงกระนั้น อีลอนยังได้กล่าวว่าบริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ได้ 2 ล้านคันในปี 2023 เพราะการลดราคารถยนต์ทำให้ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 

ในปีนี้ ยอดขายรถยนต์เทสลาที่ผลิตในจีนเพิ่มขึ้น 18% ในเดือนมกราคม จากระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนในเดือนธันวาคม ขณะที่เดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 12.6% 

ในขณะเดียวกัน เทสลาเริ่มลดราคารถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ลดราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าจากที่เริ่มต้นในเอเชีย เนื่องจากความต้องการซื้อที่ชะลอตัวท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ 

สงครามราคา EV ของจีนทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก โดยสิ่งที่เป็นตัวจุดชนวนสงครามครั้งนี้คือการลดราคาอย่างฮวบฮาบของเทสลา และสงครามตอนนี้ได้เปลี่ยนตลาดไปที่ Mass Market แทนแล้ว  

ในฐานะตลาด EV ที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด โดยผู้เล่นระดับ Domestic เข้าแย่งชิงตำแหน่งควบคู่ไปกับผู้เข้ามาใหม่ อย่างเทสลาที่แข่งขันกับสตาร์ทอัพ EV เช่น XPeng และรายอื่นๆ 

แม้แต่ผู้ผลิต EV ระดับพรีเมียมอย่าง Nio และ Li Auto ก็กำลังหาข้อเสนอใน Mass Market โดยหวังว่าจะเพิ่มปริมาณการขายและผลกำไร 

การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นนี้คาดว่าจะลุกลามไปยังตลาดอื่นๆ เช่น ยุโรป และเอเชีย เนื่องจากจีนส่งออกอุปทานส่วนเกิน ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบต่อกำไรของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าบางราย ท้ายที่สุดแล้ว คาดว่าตลาดจะเป็นไปตามแนวคิด “ผู้เหมาะสมที่สุดเท่านั้นจึงอยู่รอด” ทำให้เหลือผู้เล่นที่โดดเด่นเพียงไม่กี่ราย ในขณะที่แบรนด์ที่อ่อนแอกว่าจะค่อยๆ หายไป

ในบทความนี้ เราจะศึกษาสงครามราคาที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดจีน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 

การลดราคาของเทสลาทำให้เกิดสงครามราคา EV ของจีน 

เทสลารีแอคต่อความต้องการซื้อที่ลดลงด้วยการลดราคารถในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียในวันที่ 6 ม.ค. 2023 ที่ผ่านมา ตามด้วยการลดราคาครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรปในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้รถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ส่วนใหญ่มีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษีใหม่ของสหรัฐฯ สูงสุด 7,500 เหรียญสหรัฐฯ ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ 

การขายตัดราคาทำให้ตอนนี้ Tesla Model 3 อยู่ในราคาที่อยู่ในช่วงเดียวกับคู่แข่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง BYD Seal ซึ่งเริ่มต้นที่ 225,800 หยวน (32,857 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งก่อนหน้านี้ ราคาของ Model 3 ในจีนสูงกว่า Seal’s ประมาณ 10,000 เหรียญสหรัฐ 

แม้ว่าการลดราคาทั่วโลกจะกระตุ้นให้มีความต้องการซื้อรถยนต์ Tesla Model 3 และ Y แต่ก็ยังมีข้อบ่งชี้ว่ายอดสั่งซื้อรถยนต์จะลดลงอีกครั้ง ยกเว้นรุ่น Y ในสหรัฐฯ ในวันที่ 5 มีนาคม 2566 เทสลาลดราคารุ่น S ในสหรัฐอเมริกาลง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และรุ่น X ราคา 10,000 เหรียญสหรัฐ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ยักษ์ใหญ่ EV ได้ลดราคา Model 3 และ Y ทั่วยุโรปลงอีก 6% 

อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีน ส่วนลดของเทสลาก็ถูกเกทับด้วยคู่แข่งหลายรายที่ลดราคากันอย่างเจ็บแสบ รวมถึง บีวายดี ณ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ หลายบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยพุ่งเป้าไปที่เทสลาโดยตรง 

การตัดราคาของเทสลาในประเทศจีนก็ไม่มีผลมากนักเนื่องจากการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดขายล่าสุดในจีนมีแนวโน้มเป็นบวก 

รายได้ของเทสลา VS รายได้ของบีวายดี 

ผู้นำ Mass Market ในประเทศจีนอย่างบีวายดี ได้รับประโยชน์จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และการเปลี่ยนแปลงของการบริโภคในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว นอกเหนือจากการเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าของจีนแล้ว ปัจจุบันบริษัทยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของประเทศอีกด้วย แตกต่างจากคู่แข่ง EV รายอื่น บีวายดีทำกำไรได้และคาดว่าจะรายงานผลกำไรเกือบห้าเท่าของปี 2021 ในปี 2022 นี้ เนื่องจากการเติบโตของยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 80% 

เรามาเปรียบเทียบรายได้ของเทสลาและบีวายดี ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลกกัน 

ในปี 2021 กำไรต่อหุ้นของเทสลาพุ่งขึ้นเป็น 2.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าสามเท่าจาก 75 เซนต์ในปีที่แล้ว และเพียง 1 เซนต์ในปี 2562 กำไรในไตรมาสที่สี่เพิ่มขึ้น 40% ซึ่งสูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์บางราย แต่ต่ำกว่าที่รายอื่นคาดไว้ รายรับเพิ่มขึ้น 37% ซึ่งเป็นกำไรที่แข็งแกร่งแม้ว่าจะช้าที่สุดในหลายไตรมาสก็ตาม   

แม้ว่าผลประกอบการจะแข็งแกร่ง แต่อัตรากำไรขั้นต้นของ Tesla ลดลงเหลือ 23.8% ในไตรมาสที่ 4 เทียบกับ 25.1% ในไตรมาสก่อนหน้าและ 27.4% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 

อัตรากำไรขั้นต้นของยานยนต์ยังลดลงจาก 27.9% ในไตรมาสที่ 3 เป็น 25.9% ในไตรมาสที่ 4 และลดลงอย่างมากจาก 30.6% ในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าเทสลาไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาและค่าใช้จ่ายของศูนย์บริการไว้ในการคำนวณอัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ หากเราพิจารณาเฉพาะต้นทุนการวิจัยและพัฒนา อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของเทสลาในไตรมาสที่ 4 จะอยู่ที่ 20.4% 

เมื่อมองไปในอนาคต เทสลาคาดการณ์ว่าจะผลิตรถยนต์ 1.8 ล้านคันในปีนี้ เพิ่มขึ้น 37% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม อีลอน มัสก์เปิดเผยว่าเป้าหมายภายในนั้นใกล้จะถึง 2 ล้านคนแล้ว 

แม้ว่าการส่งมอบที่สูงขึ้นจะช่วยชดเชยผลกระทบของการลดราคาอย่างมากต่ออัตรากำไรขั้นต้น แต่การลดราคาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รับการส่งมอบที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างปัญหาได้ 

ในขณะเดียวกัน บีวายดีซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น มีผลประกอบการที่ดีดตัวขึ้นหลังจากลดลงในปี 2021 เนื่องจากการลงทุนจำนวนมหาศาล บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1.6 หมื่นล้านถึง 1.7 หมื่นล้านหยวน (2.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐถึง 2.52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับทั้งปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 425% เป็น 458% เมื่อคำนวณตามสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งแสดงถึงกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 4 ที่ 6.7 พันล้านถึง 7.7 พันล้านหยวน (990 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึง 1.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 1,013% เป็น 1,179% เมื่อเทียบเป็นรายปีในสกุลเงินท้องถิ่น 

บีวายดียังคาดการณ์ว่ารายรับต่อปีจะเกิน 420 พันล้านหยวน (62.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งบ่งชี้ว่ารายรับในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่อย่างน้อย 152.3 พันล้านหยวน (22.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งบ่งบอกถึงการเติบโตมากกว่า 115% เมื่อเทียบเป็นรายปี 

ในไตรมาสที่ 3 รายได้สุทธิของบริษัทพุ่งสูงขึ้นถึง 350% ในรูปของสกุลเงินท้องถิ่น โดยรายได้เพิ่มขึ้น 116% และรายได้ที่ปรับปรุงแล้วพุ่งสูงขึ้นถึง 923% 

แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้เปิดเผยอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสที่ 4 แต่ก็มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ในไตรมาสที่สาม อัตรากำไรขั้นต้นของบีวายดีอยู่ที่ 18.96% เพิ่มขึ้นจาก 14.39% ในไตรมาสที่ 2 และ 13.33% ในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของยานยนต์อยู่ที่ 22.77% เพิ่มขึ้นจาก 17.82% ในไตรมาสที่ 2 และ 17.31% ในปีที่แล้ว 

ตลาดเปลี่ยนแปลงท่ามกลางสงครามราคา EV ในจีน

โมเดลส่วนใหญ่ของบีวายดีมีราคาอยู่ระหว่าง 100,000 RMB ถึง 200,000 RMB ซึ่งเทียบเท่าประมาณ 15,000-29,000 เหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นข้อเสนอที่คุ้มค่า 
 
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ขยายเข้าสู่ตลาด “ความหรูหราที่เข้าถึงได้ (Affordable Luxury)” ด้วยรถยนต์รุ่นใหม่ เช่น Seal และ Frigate บวกกับการขยายแบรนด์ Denza แบบเชิงรุกโดยพุ่งเป้าไปยังตลาดระดับพรีเมียม

นอกจากนี้ บีวายดียังได้เปิดตัวแบรนด์ระดับซูเปอร์พรีเมียมที่ชื่อว่า Yangwang โดยมีกำหนดเปิดตัวรถ SUV ในไตรมาสที่ 3 และกำลังวางแผนที่จะเปิดตัว “F Brand” ซึ่งอยู่ระหว่าง Denza และ Yangwang  

ก่อนหน้านี้ เทสลาครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของจีน แต่ด้วยการลดราคาอย่างรุนแรง ทำให้เทสลาได้ย้ายจากรถระดับพรีเมียมเข้าสู่ Mass market อ้างอิงจากข้อมูลของ Tu Le จาก Sino Auto Insights ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษา 

Model 3 ซึ่งตอนแรกมีราคาสูงกว่าบีวายดี Seal เกือบ 10,000 เหรียญสหรัฐ ได้ลดลงเหลือเพียง 600 เหรียญสหรัฐหลังจากต้นเดือนมกราคม และบีวายดียังเสนอส่วนลดรุ่น Seal ใหม่ในต้นเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม มีการแข่งขันที่สูงมากในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำกว่า 300,000 หยวน ในขณะที่ บีวายดียังคงครองตำแหน่งนั้นอยู่นั้น XPeng ก็ประสบพบเจอกับปัญหา 

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ตัวแทนจำหน่ายบีวายดีได้ลดราคารถหลายรุ่น ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้แต่ผู้นำ EV ของจีนก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสงครามราคาได้

สงครามราคา EV ในจีนจะยืดเยื้อนานเท่าใด 

ระยะเวลาของสงครามราคา EV ของจีนยังคงไม่แน่นอนเพราะไม่มีสัญญาณว่าการแข่งขันจะลดลง สภาวะการแข่งขันเช่นนี้สร้างความท้าทายให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายรายที่มีแผนการผลิต เนื่องจากความสำเร็จของรถยนต์รุ่นใหม่เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ในขณะที่รุ่นเดิมก็มีความเสี่ยงที่จะล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิต EV คาดว่าจะลดราคาต่อไปเพื่อให้แข่งขันได้ ซึ่งนำไปสู่การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าการแก้ปัญหาโดนการส่งออกอาจเป็นไปได้ แต่วิธีนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะขยายสงครามราคาไปยังตลาดต่างประเทศ เห็นได้จากการตัดสินใจล่าสุดของเทสลาในการลดราคาในยุโรป และผู้ผลิต EV ของจีนรายอื่นๆ เช่น บีวายดีมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการแข่งขันทั้งในยุโรปและเอเชีย 

สำหรับ OEM ต่างชาติที่พยายามเจาะตลาด EV ของจีน การทำสงครามราคาถือเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งอาจปิดกั้นไม่ให้พวกเขาออกจากตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ ในทางกลับกัน ผู้ผลิต EV ของจีนอาจตั้งหลักได้มากขึ้นในยุโรป เนื่องจากโมเดลที่ผ่านการทดสอบมีความโดดเด่นมากขึ้น 

แม้จะมีสงครามราคาอย่างต่อเนื่อง แต่คาดว่าตลาดสหรัฐฯ จะยังคงปลอดภัยเนื่องจากภาษีศุลกากรและกฎเครดิตภาษี EV ยังมีอยู่ และนอกเหนือจากแบรนด์ Geely แล้ว มีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ EV ของจีนไม่กี่รายที่สามารถมีตัวตนในตลาดสหรัฐฯ ได้ 

| เกี่ยวกับ Doo Prime       

เครื่องมือการซื้อขายของเรา     

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น    

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน    

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก     

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 10 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ     

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก     

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ     

โทรศัพท์     
ยุโรป : +44 11 3733 5199       
เอเชีย : +852 3704 4241        
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415       
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539         

อีเมล   
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]       
ฝ่ายขาย [email protected]      

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)        

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)      

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต       

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้      

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้  

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง     

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย     

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง 

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย     

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

แชร์ไปที่

บทความวิเคราะห์ตลาด

หุ้นพุ่งขึ้นท่ามกลางท่าที Dovish ของเฟดและตัวเลขงานที่อ่อนแอ 

S&P 500 ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนมาจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่ Dovish มากขึ้นและข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอกว่าที่คาด  ความผ่อนคลายในหมู่นักลงทุนจากการประกาศของเฟดเมื่อวันพุธได้ส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงมาจากความกังวลก่อนหน้านี้ที่ว่าธนาคารกลางอาจมีจุดยืนเชิงรุกมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ  ผลกระทบของรายงานการจ้างงานในสหรัฐฯ  นอกจากมุมมองเชิงบวกแล้ว รายงานการจ้างงานในสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมายังระบุว่าเงินเดือนเพิ่มขึ้นเพียง 175,000 อัตรา ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญที่ 240,000 อัตรา โดยการเติบโตของค่าจ้างยังต่ำกว่าการคาดการณ์อีกด้วย ข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้นี้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในทางบวก  ปฏิกิริยาของตลาดต่อตัวเลขเศรษฐกิจ  ความคาดหวังของตลาดอยู่ในระดับสูงในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากตลาดต่างรอคอยคำกล่าวของประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ โดยหวังว่าสิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในนโยบายการเงิน  แม้ว่าคำกล่าวของพาวเวลล์จะเน้นไปที่อัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงานเป็นหลัก แต่รายงานการจ้างงานในเวลาต่อมาก็ตอกย้ำท่าทีที่อ่อนลงของเฟด  นอกจากนี้ ตัวเลขงานที่น่าผิดหวังยังส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ใกล้สู่ระดับแนวรับสำคัญที่ประมาณ 4.42/33% ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้  ผลการดำเนินงานรายสัปดาห์ของตลาด  ด้วยแรงหนุนมาจากสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวและข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ดัชนีสำคัญๆ ทั้งหมดจึงสรุปผลเชิงบวกในสัปดาห์นี้ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.6% ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.1% และดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 1.4%  และนี่คือราคาปิดตลาดของแต่ละดัชนีในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม […]

2024-5-7 | บทความวิเคราะห์ตลาด

ตลาดพุ่ง นักลงทุนมองภาคเทคในแง่ดี ความกลัวขึ้นดอกเบี้ยคลายลง

ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยถือเป็นผลการดำเนินงานรายสัปดาห์ที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้ การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ได้รับแรงผลักดันมาจากคำพูดเชิงบวกจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Microsoft และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ซึ่งให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่าการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของพวกเขามีมุมมองเป็นบวก  ข้อมูลเงินเฟ้อที่นักลงทุนมองข้าม  แม้จะเผชิญกับข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด แต่นักลงทุนก็ดูเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลนั้น เทรดเดอร์บางรายเตรียมพร้อมสำหรับตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยมีข้อบ่งชี้ล่าสุดว่า Federal Reserve กำลังพยายามที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดจึงไม่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ  พันธบัตรรัฐบาล ความผันผวนของค่าเงิน และราคาทองคำ  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลแสดงผลการดำเนินงานแบบผสมผสาน โดยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทำได้ดีกว่าระยะสั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงประมาณ 3 จุดมาอยู่ที่ 4.663%  ดัชนี Bloomberg Dollar Spot แข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลง 1.4% ใกล้ระดับ 158 เยนต่อดอลลาร์ การอ่อนค่าของเยนในครั้งนี้ทำให้นักลงทุนจับตาดูการแทรกแซงที่อาจเกิดขึ้นจากทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด  นอกเหนือจากนี้ ราคาทองคำก็ขยับสูงขึ้น สะท้อนถึงความสนใจอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน    สรุปการเคลื่อนไหวตลาดรายสัปดาห์  ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 2.7% ดัชนี Nasdaq Composite […]

2024-4-29 | บทความวิเคราะห์ตลาด

S&P 500 ร่วง ท่ามกลางการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาคเทคอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

ตลาดหุ้นต้องเผชิญกับสัปดาห์ที่โหดร้าย โดย S&P 500 ประสบพบกับผลการดำเนินงานที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 การลงครั้งนี้ได้รับแรงหนุนมาจากความวิตกกังวลในตลาด  ผลกระทบทางเศรษฐกิจและธนาคารกลางสหรัฐ  ประการแรก ข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินความคาดหมาย บวกกับแถลงการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจากธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้เกิดความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยอาจยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปเป็นระยะเวลานานขึ้น  สิ่งนี้ได้บั่นทอนแรงซื้อของนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีการเติบโต ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย  ประการที่สอง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้เพิ่มความไม่แน่นอนอีกชั้นหนึ่งให้กับตลาด  ปัจจัยลบในภาคเทคโนโลยี  การขายออกที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาคเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงกดดันมาจากรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังจากผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น ASML และ TSM  รายงานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงฤดูกาลประกาศรายได้ที่กำลังจะมาถึงสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple และ Amazon นักลงทุนต่างคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งแต่ยังคงกังวลเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทเหล่านี้ในการตอบสนองความคาดหวังสำหรับโครงการด้านปัญญาประดิษฐ์ของพวกเขา  ภาพรวมผลประกอบการรายสัปดาห์  ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 ลดลง -3.1% ดัชนี Nasdaq Composite ที่เน้นด้านเทคโนโลยีลดลง -5.5% และดัชนีบลูชิป Dow ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยที่ +0.01%  และนี่คือราคาปิดตลาดของแต่ละดัชนีในวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2567 Index  Last  Change  %Change  DOW […]

2024-4-22 | บทความวิเคราะห์ตลาด