ผลกระทบจากการลดการผลิตน้ำมันของ OPEC+ ในตลาดพลังงาน

2023-04-20 | Crude Oil , Energy Market , Oil

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2566 องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และพันธมิตร ซึ่งรวมถึงรัสเซียได้ประกาศลดการผลิตน้ำมันลง 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) หรือคิดเป็น 7% ของอุปสงค์ทั่วโลก 

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงสิ้นปี ซาอุดีอาระเบียและประเทศสมาชิก OPEC+ อื่นๆ จะดำเนินการ “ลดการผลิตน้ำมันดิบโดยสมัครใจ” นอกเหนือจากการลดกำลังการผลิตที่ประกาศในเดือนตุลาคม 2022 ที่ผ่านมา 

การปรับลดการผลิตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นำไปสู่ตัวเลขน้ำมันที่ลดลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด และคิดเป็นประมาณ 2% ของความต้องการใช้น้ำมันของโลก การปรับลดครั้งใหม่นี้จะส่งผลให้ซาอุดิอาระเบียลดการผลิตน้ำมันลงอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน อิรัก 211,000 บาร์เรลต่อวัน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 144,000 บาร์เรลต่อวัน 

ตลาดไม่ทันตั้งตัวกับการประกาศที่ฉับพลันเช่นนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นมากกว่า 85 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 

ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงสาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ OPEC+ ในการลดกำลังการผลิตและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตลาดน้ำมัน รวมถึงราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกและนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) 

เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของ OPEC ในการลดการผลิตน้ำมัน 

อุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอ และมาตรการป้องกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด 

ซาอุดิอาระเบียดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดโดยการลดการผลิตน้ำมันดิบโดยสมัครใจ เป็นจำนวน 1.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มจากที่ลดอยู่แล้ว 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน 

รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ โนวัค (Alexander Novak) อ้างถึงวิกฤตการธนาคารของตะวันตกและปัญหา “การแทรกแซงตลาด” ว่าเป็นสาเหตุให้เกิดการปรับลดผลผลิต 

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ความกลัวว่าวิกฤตการณ์ธนาคารจะเกิดขึ้นซ้ำรอยได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 139 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2022 มาอยู่ที่เกือบ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล 

Redburn Research เตือนว่าหาก OPEC ไม่ได้เกรงกลัวต่อภาวะถดถอยครั้งใหญ่ทั่วโลก ขนาดของการปรับลดครั้งล่าสุดอาจมากเกินไป และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง 

ลงโทษผู้ขายชอร์ตน้ำมัน 

การลดการผลิตน้ำมันครั้งล่าสุดนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อผู้ที่เดิมพันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น  หรือที่เรียกว่าผู้ขายชอร์ต (Short Seller) 

ในปี ค.ศ. 2020 เจ้าชายอับดุลลาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบียเตือนเทรดเดอร์ไม่ให้ลองเสี่ยงกับเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยระบุว่าเขาอาจจะสั่นคลอนเสถียรภาพของตลาด และผู้ที่เล่นพนันราคาน้ำมันจะต้องรับกับผลที่ตามมา 

กองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้ลด Position สุทธิในน้ำมัน WTI ของสหรัฐฯ เหลือเพียง 56 ล้านบาร์เรลภายในวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2016 

นอกจากนี้ สถานะซื้อ (long position) มีจำนวนมากกว่าสถานะขาย (short position) ในอัตราส่วนเพียง 1.39:1 ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2016 ดังที่แหล่งข่าวรายหนึ่งที่คุ้นเคยกับความคิดของ OPEC+ กล่าวว่า “การปรับลดครั้งล่าสุดจะทำร้ายผู้ที่เดิมพันให้ราคาน้ำมันลงอย่างเลวร้าย”  

รักษาระดับราคาน้ำมัน ในขณะที่ต้องหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเงินเฟ้อ 

จากข้อมูลของนักวิเคราะห์หลายคน กล่าวว่า OPEC+ มีเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันที่ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีการคาดการณ์จาก UBS และ Rystad ว่าราคาน้ำมันอาจสูงถึง 100 เหรียญสหรัฐ 

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่สูงเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยง เนื่องจากราคามีส่วนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และอาจนำไปสู่การพัฒนาของแหล่งพลังงานทางเลือก 

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกโอเปกอาจเพิ่มการผลิตเพื่อกอบโกยประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้นนี้ด้วย 

Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่าอำนาจของ OPEC เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการลงทุนในโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลได้รับความนิยมน้อยลง ซึ่งส่งผลให้พลังงาน Shale ของสหรัฐฯ ตอบสนองช้าลงและน้อยลงต่อราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 

ความตึงเครียดกับวอชิงตัน และบทบาทของน้ำมันสำรองของสหรัฐจากการตัดสินใจของ OPEC+ 

สหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์บทบาทของโอเปกในการควบคุมราคาน้ำมันและการเป็นพันธมิตรกับรัสเซียในปัจจุบันที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างยูเครนและรัสเซีย รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอกฎหมายห้ามการผลิตและส่งออกน้ำมัน (NOPEC) ซึ่งอนุญาตให้มีการยึดทรัพย์สินของ OPEC บนพื้นที่ของสหรัฐฯ หากพิสูจน์ได้ว่ามีการร่วมมือกัน 

ในขณะเดียวกัน OPEC+ ได้ตำหนิองค์กร International Energy Agency ซึ่งโอเปคมองว่าเป็นองค์กรเฝ้าระวังด้านพลังงานที่มีความคิดอคติและเข้าข้างฝั่งตะวันตก เนื่องจากมีการปล่อยสต็อกน้ำมันที่ OPEC+ เชื่อว่าเกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองในการเพิ่มอันดับความนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) 

นอกจากนี้ การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะไม่เติมน้ำมันสำรองตามแผนเดิมในปี 2023 หลังจากปล่อยน้ำมันสำรองส่วนใหญ่ไปแล้ว อาจมีส่วนทำให้โอเปกตัดสินใจลดกำลังการผลิต ตามข้อมูลของ JP Morgan และ Goldman Sachs 

ผลกระทบของการลดการผลิตต่อราคาน้ำมัน 

ในวันที่ 3 เมษายน 2023 ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น หลังซาอุดีอาระเบียประกาศเริ่ม “ลดการผลิตน้ำมันดิบโดยสมัครใจ” อย่างไม่คาดคิด 

น้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานทั่วโลก เพิ่มขึ้น 5.31% เป็น 84.13 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และ West Texas Intermediate (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.48% เป็น 79.83 ดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบปี 

การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นปัจจุบัน แตกต่างจากเหตุการณ์กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ราคาน้ำมันดิบของสหรัฐแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน หลังจากมีข่าวการล่มสลายของธนาคาร Silicon Valley Bank ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในภาคการธนาคารในวงกว้างและเพิ่มความหวาดกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก 

แม้ว่าการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมันจะเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่อาจเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก 

Sophie Lund-Yates หัวหน้านักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ Hargreaves Lansdown แสดงความคิดเห็นว่า “ตลาดตระหนักดีว่าหากแรงกดดันยังคงดำเนินต่อไป ธนาคารกลางจะต้องขยายหรือเพิ่มความแข็งแกร่งของอัตราดอกเบี้ย” 

การตัดสินใจของ OPEC+ ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ถูกคาดการณ์สูงขึ้น 

การประกาศของ OPEC+ สร้างความประหลาดใจแก่ตลาดเป็นอย่างมาก ทำให้ Goldman Sachs คาดการณ์ราคาสำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 

ธนาคารคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์สำหรับเดือนธันวาคม 2023 เพิ่มขึ้นอีก 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 95 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนธันวาคม 2567 แม้ว่าโกลด์แมน แซคส์จะปรับลดคาดการณ์การผลิตสิ้นปี 2023 สำหรับกลุ่ม OPEC+ ลง 1.1 ล้านบาร์เรล ต่อวัน 

โกลด์แมน แซคส์ตั้งข้อสังเกตว่าการตัดสินใจของ OPEC+ สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจและแนวโน้มทางการเมือง และการลดกำลังการผลิตอาจช่วยเพิ่มราคาน้ำมันได้ 7% ส่งผลให้รายได้จากน้ำมันของซาอุดีอาระเบียและ OPEC+ สูงขึ้น 

ธนาคารยังเสนอว่าการตัดสินใจของ OPEC+ มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสประกาศปล่อยน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve-SPR) และการปฏิเสธที่จะเติมน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐในปีงบประมาณ 2023 แม้ว่าก่อนหน้านี้มี WTI เพียงพอที่จะเติมน้ำมันใหม่ก็ตาม แต่อาจมีผลต่อการตัดสินใจของ OPEC+ ในการปรับลดกำลังการผลิต 

โดยรวมแล้ว การประกาศของ OPEC+ เพื่อลดการผลิตน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจสร้างความกังวลต่อผู้บริโภคทั่วโลก 

ผลกระทบของคำสั่งลดการผลิตของ OPEC ต่อวิธีการจัดการเงินเฟ้อของเฟด 

นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการประกาศลดการผลิตโดยซาอุดีอาระเบียและผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นในกลุ่ม OPEC+ อาจสร้างปัญหาให้กับธนาคารกลางสหรัฐที่ต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในสหรัฐฯ 

การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานทั่วโลกเนื่องจากการความขัดแย้งยูเครนและรัสเซียเมื่อปีที่แล้วทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกรุนแรงขึ้น เช่นเดียวกับที่ประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มฟื้นตัวจากโรคระบาด 

อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาพลังงานช่วยลดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายนเป็น 6% ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามดัชนีราคาผู้บริโภค 

ราคาพลังงานซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 7.5% ของดัชนีโดยรวม เพิ่มขึ้น 5% ในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อปี ซึ่งต่ำกว่าราคาที่เพิ่มขึ้น 41.3% เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักสถิติแรงงาน 

การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอีกครั้งอาจยืดระยะเวลาของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกา หรืออาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอีก ชาวอเมริกันกำลังเผชิญกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยค่าเฉลี่ยของประเทศต่อแกลลอนอยู่ที่ 3.55 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 3.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนที่แล้ว 

เฟดให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน ในที่สุดก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาหลักได้ 

Sarah House นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Wells Fargo ตั้งข้อสังเกตว่าการตัดสินใจของ OPEC แม้ว่าจะพิจารณาจากภูมิรัฐศาสตร์เป็นหลัก แต่อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและการขนส่งสินค้าอื่นๆ ทำให้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกลายเป็นองค์ประกอบหลักที่เฟดจะใช้ในการประกอบการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 

การใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในสมการ ราคาพลังงานที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้บริโภคและลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้อุปสงค์โดยรวมลดลง 

อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากอาจลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสำหรับธุรกิจที่ให้บริการ แต่อาจเพิ่มโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

James Bullard ประธาน Federal Reserve Bank of St. Louis ยอมรับว่าราคาที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในที่สุด ทำให้งานของ Fed ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก เขากล่าวว่าความผันผวนของราคาน้ำมันทำให้พวกเขาทำงานได้ยาก ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ยากขึ้น

เตรียมพร้อมสำหรับความผันผวน: โอกาสและความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน 

หลังจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของ OPEC+ ในการลดการผลิตน้ำมันดิบ เห็นได้ชัดว่าตลาดและนักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับตลาดน้ำมันที่จะผันผวนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การตัดสินใจนี้คาดว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดและนักลงทุน แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนหุ้นพลังงานและส่งผลกระทบต่อผู้ขายชอร์ตน้ำมัน แต่ก็อาจนำไปสู่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือกแทน 

การประกาศลดการผลิตทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น โดย Goldman Sachs ได้ปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวอาจขยายหรือเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาราคาที่พุ่งขึ้นและลดลงที่อาจเกิดขึ้น ที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

โดยรวมแล้ว การตัดสินใจของ OPEC+ ในการปรับลดการผลิตน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก นักลงทุนควรติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดและตัดสินใจอย่างชาญฉลาดโดยพิจารณาจากความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคน

ความผันผวนของตลาดน้ำมันคาดว่าจะยังคงมีอยู่ และนักลงทุนควรเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนของตลาด เนื่องจากเราต้องหาผลประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับรักษาความเสี่ยงให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดด้วย

| เกี่ยวกับ Doo Prime       

เครื่องมือการซื้อขายของเรา     

หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น    

Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน    

Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก     

ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 10 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ     

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก     

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ     

โทรศัพท์     
ยุโรป : +44 11 3733 5199       
เอเชีย : +852 3704 4241        
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415       
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539         

อีเมล   
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค [email protected]       
ฝ่ายขาย [email protected]      

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)        

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)      

บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต       

Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้      

Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้  

การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง     

การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย     

โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง 

ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย     

ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-10-27 | ข่าวสาร D Prime

ปริมาณการเทรดของ D Prime เพิ่มขึ้น 37% ในเดือนกันยายน 2025  

เดือนกันยายนถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของ D Prime และเหล่านักเทรดทั่วโลก ท่ามกลางความผันผวนของตลาดและกระแสข่าวระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กิจกรรมการเทรดพุ่งสูงแตะระดับใหม่ D Prime บันทึกปริมาณการเทรดรวม 191.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในตลาดที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   สรุปปริมาณการเทรดเดือนกันยายน 2025  ทั้งปริมาณการเทรดรวมและปริมาณการเทรดเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเดือนกันยายน แสดงให้เห็นถึงแรงขับเคลื่อนของตลาดที่แข็งแกร่งและการมีส่วนร่วมของนักเทรดในผลิตภัณฑ์หลักที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก  ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดในเดือนกันยายน  ตลาดมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักตลอดเดือนกันยายน โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 จุดเบสิก ยืนยันมุมมองของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การตัดสินใจดังกล่าวช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและหนุนให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น  ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง ส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น ทองคำจึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดของเดือน โดยราคาพุ่งทะลุ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุดใหม่  คู่สกุลเงิน XAU/USD มีปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นประมาณ 54.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติบโตมากที่สุดในเดือนกันยายน สะท้อนถึงความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมและแนวโน้มตลาด  ทองคำไม่ใช่เพียงสินทรัพย์เดียวที่ได้รับความสนใจจากนักเทรดในเดือนกันยายน นอกจาก XAU/USD แล้ว คู่สกุลเงิน EUR/USD, GBP/USD, US30 และ NAS100 ยังติดอันดับผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่มีปริมาณการเทรดสูงสุดด้วย  นอกจากนี้ยังพบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในพฤติกรรมของนักเทรด โดย NAS100 ได้ก้าวเข้าสู่ 5 อันดับสินค้าที่มีการเทรดมากที่สุด แทนที่ BTC/USD จากเดือนก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่านักเทรดกำลังมองหาการกระจายความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น และเปิดรับโอกาสใหม่ในดัชนีหุ้น  ความแข็งแกร่งและแรงส่งต่อเนื่องในอนาคต  แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่ D Prime ยังคงมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์การเทรดที่มั่นคง มีประสิทธิภาพ และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยปริมาณการเทรดรวมของแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น 48.85% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แสดงถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก  ในขณะที่ตลาดยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง D Prime ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถรับมือกับทุกโอกาสได้อย่างมั่นใจ ผ่านการมอบข้อมูลเชิงลึก เครื่องมือ และการสนับสนุนที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระยะยาว 

article-thumbnail

2025-10-15 | กิจกรรม

D Prime สรุปความสำเร็จจากงาน Forex Expo Dubai 2025 

D Prime ปิดฉากการเข้าร่วมงาน Forex Expo Dubai 2025 อย่างยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ตุลาคม ณ ศูนย์การค้าโลก ดูไบ (World Trade Center Dubai) ในฐานะที่เป็น งานฟอเร็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง งานนี้ได้รวบรวมโบรกเกอร์ชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านฟินเทค และเทรดเดอร์ผู้มีแพสชันจากทั่วโลกเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง  ปีนี้ถือเป็นปีที่พิเศษสำหรับ D Prime เพราะเราได้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมการเทรดล่าสุดควบคู่กับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ สะท้อนถึงการพัฒนาและความมุ่งมั่นในการเป็นพาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้สำหรับเทรดเดอร์ทั่วโลก หลังจากการปรากฏตัวในงานที่อินเดียและประเทศไทย การเข้าร่วมงานที่ดูไบในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ D Prime ในการเชื่อมโยงกับชุมชนเทรดเดอร์ที่หลากหลายจากทั่วโลก  ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องต่อภูมิภาค MENA  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ D Prime เข้าสู่ตลาด MENA และแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ภายในงานที่บูธ #109 D Prime ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเชื่อมโยงกับเทรดเดอร์ในหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ตลอดสองวันที่เต็มไปด้วยความคึกคัก บูธของเรามีชีวิตชีวาเมื่อผู้เข้าชมได้สัมผัสถึงการขยายเครือข่ายระดับโลกของ D Prime แพลตฟอร์มการเทรดที่ล้ำสมัย และการให้บริการที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง  “น่าทึ่งมากที่ได้เห็นว่า D Prime สามารถเชื่อมต่อกับเทรดเดอร์จากทั่วโลกได้อย่างไร ผมได้พบผู้คนจากยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นสากลของชุมชนนี้ได้อย่างแท้จริง” ผู้เข้าร่วมงานคนหนึ่งกล่าวระหว่างการเข้าชมงาน Expo  ภายในประสบการณ์บูธของ D Prime  เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน D Prime ได้จัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่ทั้งน่าสนใจ มอบรางวัล และสร้างแรงบันดาลใจ  ตั้งแต่ของที่ระลึกสุดพิเศษสำหรับผู้เยี่ยมชมทุกคน ไปจนถึงการแข่งขันถ่ายภาพบน Instagram ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมเก็บภาพช่วงเวลาที่ดีที่สุดภายในงาน Expo เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพรีเมียม บรรยากาศภายในบูธเต็มไปด้วยพลังและความสนุกอย่างต่อเนื่อง  กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก กระตุ้นให้เกิดบทสนทนาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับวิธีที่ D Prime สามารถ ยกระดับประสบการณ์และองค์ความรู้ของเทรดเดอร์ได้อย่างแท้จริง  เสริมสร้างสายสัมพันธ์และก้าวสู่อนาคต  สำหรับ D Prime งาน Forex Expo Dubai ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่เป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมโยง แบ่งปันมุมมอง และ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตและความเป็นเลิศ ภาพลักษณ์ใหม่ของเราไม่ใช่แค่การอัปเดตดีไซน์ แต่คือการประกาศถึงพลัง แรงบันดาลใจ และอนาคตที่เรากำลังร่วมกันสร้างกับลูกค้าทั่วโลก   เราภูมิใจกับความสัมพันธ์และพลังงานที่เกิดขึ้นระหว่างงานอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชมบูธของเรา เข้าร่วมกิจกรรม และพูดคุยกับทีมงานของเรา ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้  นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น D Prime จะยังคงขยายการเติบโตในภูมิภาค MENA และทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม สร้างโอกาส และส่งแรงบันดาลใจให้แก่นักเทรดทั่วโลก  โปรดติดตามกิจกรรมใหญ่ครั้งต่อไปของเรา ที่จะมาพร้อมเซอร์ไพรส์และประสบการณ์สุดพิเศษจาก D Prime 

article-thumbnail

2025-09-25 | ข่าวสาร D Prime

D Prime รายงานปริมาณการเทรดในเดือนสิงหาคม 2568

D Prime รายงานปริมาณการเทรด 139.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนสิงหาคม 2025 พร้อมชูสินค้าชั้นนำ ปัจจัยขับเคลื่อนตลาด และผู้เล่นเด่นท่ามกลางความผันผวน