หุ้นบ.จีนในตลาดฮ่องกงร่วงหนัก หลังจนท.ยืนยันเดินหน้านโยบายซีโร่โควิด

2022-11-03 | commodities , Current Affairs , Forex , Securities

หุ้นบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลงอย่างหนักในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของจีนยืนยันว่าจะยังคงยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป

หุ้นบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลงอย่างหนักในช่วงเช้าวันนี้(3พ.ย.) หลังจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของจีนยืนยันว่าจะยังคงยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นทั่วโลก

ดัชนีหุ้นจีนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลงรุนแรงถึง 2.7% ในช่วงเช้านี้ ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งดิ่งลงกว่า 2% โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงหุ้นกาสิโนและหุ้นค้าปลีกดิ่งลงอย่างหนัก

อ้างอิง กรุงเทพธุรกิจ

แบงก์ชาติฟิลิปปินส์จ่อขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามเฟดในวันที่ 17 พ.ย.นี้

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ส่งสัญญาณในวันนี้ (3 พ.ย.) ว่า BSP มีแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% จุดในการประชุมนโยบายในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการคุมเข้มนโยบายการเงินครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นายเฟลิเป เมดาลลา ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ระบุว่า “การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดสนับสนุนจุดยืนของ BSP ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเท่ากันในการประชุมนโยบายครั้งถัดไปในวันที่ 17 พ.ย.นี้”

นายเฟลิเปกล่าวว่า “BSP มองว่า มีความจำเป็นต้องรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยก่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของเฟดไว้ให้สอดคล้องกับเสถียรภาพด้านราคา และความจำเป็นในการบรรเทาผลกระทบใด ๆ ต่ออัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของเฟด”

อ้างอิง อินโฟเควสท์

หุ้นไทยวันนี้ (3 พ.ย. 65) เปิดตลาด -4.09 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,621 จุด

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (3 พ.ย. 65) ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,620.93 จุด ปรับลง -4.09 จุด หรือคิดเป็น -0.25% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 3,140 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00.35 น.

ดัชนี SET50 ล่าสุดปรับลง -4.3 จุด หรือคิดเป็น -0.43% อยู่ที่ 987.18 จุด มูลค่าซื้อ-ขายรวม อยู่ที่ 1,572 ล้านบาท คิดเป็นราว 50.05% ของการซื้อ-ขายทั้งหมด

อ้างอิง ประชาชาติธุรกิจ

ค่าเงินบาทวันนี้ (3 พ.ย.) เปิดตลาดอ่อนค่าที่ 37.80 บาท บทวิเคราะห์ล่าสุด

ค่าเงินบาทวันนี้ (3 พ.ย.) เปิดตลาดอ่อนค่าที่ 37.80 บาทต่อดอลลาร์ โดยกรอบแนวรับที่ 37.70 บาท แนวต้าน 38.00 บาท

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.80 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.58 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า เงินบาทมีโอกาสที่จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังประธานเฟดยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ให้ระวังความผันผวนและโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงหลังตลาดรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด

อ้างอิง ประชาชาติธุรกิจ

ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามเฟด

ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 4.25% ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 6 ภายในระยะเวลา 8 เดือน

ทั้งนี้ HKMA ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดขึ้นอีก 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2551 และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 4

ที่ผ่านมานั้น HKMA ดำเนินนโยบายการเงินในแนวทางเดียวกับเฟด เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในกรอบที่ค่อนข้างแคบที่ระดับ 7.75-7.85 ดอลลาร์สหรัฐ

อ้างอิง อินโฟเควสท์

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป