การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ของเฟด (Fed) จะผลักดันราคาทองคำไปสู่ $3,000 ได้หรือไม่? 

2024-09-27

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครึ่งเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบสี่ปี และถือเป็นการลดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 16 ปี การเคลื่อนไหวเชิงรุกนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของวัฏจักรการผ่อนคลายทางการเงินใหม่ โดยคาดว่าจะมีการปรับลดเพิ่มเติมภายในสิ้นปีนี้ 

จากผลดังกล่าว ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิมได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ โดยทะลุเกินระดับ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ทองคำจะมีโอกาสแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือไม่? 

ความสัมพันธ์ผกผันระหว่างทองคำและอัตราดอกเบี้ย 

ในอดีต ทองคำและอัตราดอกเบี้ยมีความสัมพันธ์ผกผันกัน เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ ซึ่งไม่มีดอกเบี้ย จะลดลง ทำให้ทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงยังทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจของทองคำมากขึ้นอีก เมื่อ Fed ยังคงลดต้นทุนการกู้ยืม ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยก็พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอย 

ทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ 

ราคาทองคำยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสำคัญของ Fed โดยราคาทองคำแท่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,599.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันพุธ และในวันศุกร์ ราคาทองคำสปอตซื้อขายใกล้ระดับ 2,593.79 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นประมาณ 0.7% ตลอดสัปดาห์ ขณะที่สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าในสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% แตะระดับ 2,618.70 ดอลลาร์ ความคาดหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจาก Fed รวมกับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ทองคำมีแนวโน้มขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ไคล์ รอดดา นักวิเคราะห์ตลาดการเงิน ได้เน้นย้ำถึงแนวโน้มเชิงบวกของทองคำ โดยกล่าวว่า “แนวโน้มในปัจจุบันเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อทองคำอย่างมาก และหากสภาวะตลาดยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ราคาทองคำอาจเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงระหว่าง 2,600 ถึง 2,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 12 เดือนข้างหน้า” 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอดีตและการพุ่งขึ้นของราคาทองคำ: อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป? 

ทองคำมีประวัติการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในช่วงต้นปี 2543 ทองคำพุ่งขึ้นถึง 31% หลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง เช่นเดียวกับในช่วงวิกฤตการเงินปี 2551 ทองคำปรับตัวขึ้น 39% ขณะที่ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ล่าสุดในปี 2563 ทองคำเพิ่มขึ้น 5% เมื่อ Fed ตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากการระบาดใหญ่ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง 

แนวโน้มในอดีตเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าทองคำมักจะแสดงผลการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่มีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และขณะนี้เมื่อ Fed กำลังเริ่มต้นวัฏจักรการผ่อนคลายอีกครั้ง พร้อมกับคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปี 2568 และ 2569 ทำให้นักลงทุนหลายคนตั้งคำถามว่า: ครั้งนี้ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นได้อีกมากแค่ไหน? 

ด้วยความไม่แน่นอนทั่วโลกในปัจจุบัน ความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสูงกว่านั้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ผลการดำเนินงานในอดีตจะไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ในอนาคตเสมอไป แต่ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นของทองคำอาจยังไม่สิ้นสุด 

การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกกระตุ้นความต้องการทองคำ 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้สร้างเวทีให้เกิดการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระดับโลก โดยมีธนาคารกลางหลายแห่งทำตาม ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน และฟิลิปปินส์เพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยลง 250 จุดพื้นฐาน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วโลกทำให้พันธบัตรรัฐบาลมีความน่าสนใจน้อยลง ส่งผลให้นักลงทุนหันไปหาทางเลือกสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น ทองคำ 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคาดการณ์ว่าจะมีการลดต้นทุนการกู้ยืมอีก 50 จุดพื้นฐานภายในสิ้นปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับลดเพิ่มเติมในปี 2568 และ 2569 ช่วงเวลาที่ต่อเนื่องของการผ่อนคลายนโยบายการเงินนี้คาดว่าจะสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง และส่งผลสนับสนุนราคาทองคำ 

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความกังวลทางเศรษฐกิจเพิ่มความน่าสนใจของสินทรัพย์ปลอดภัย 

ความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองมหาอำนาจเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เพิ่มความต้องการทองคำมากขึ้น แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโอกาสการเติบโตในอนาคต ขณะที่จีนยังคงเผชิญกับปัญหาการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวและระดับหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น 

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงอยู่ในระดับสูง ในตะวันออกกลาง การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในภาคใต้ของเลบานอนทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก ทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์เหล่านี้ 

นอกจากนี้ ด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้เข้ามา ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นปัจจัยเสริมอีกชั้นหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนราคาทองคำ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนต้องรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ 

ความต้องการทองคำแท่งที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น 

นอกจากนโยบายการเงินและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ความต้องการทองคำแท่งก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ธนาคารกลางในเอเชียและรัสเซียกำลังเพิ่มปริมาณสำรองทองคำของตน เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ธนาคารกลางของโปแลนด์เพิ่งเพิ่มการถือครองทองคำ ขณะที่การนำเข้าทองคำของอินเดียพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หลังจากมีการลดภาษีนำเข้าทองคำแท่งและเครื่องประดับทอง 

อย่างไรก็ตาม การที่จีนตัดสินใจงดนำเข้าทองคำจากสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ได้สร้างความสงสัยเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการในอนาคต ถึงแม้จะมีเหตุการณ์นี้ แต่ความต้องการทองคำแท่งโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนยังคงมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย 

แนวโน้มทองคำสู่ระดับ $3,000 

ด้วยราคาทองคำที่สูงกว่า 2,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ความเป็นไปได้ที่จะถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังดูมีความเป็นจริงมากขึ้น การคาดการณ์ของ Fed เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ประกอบกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก กำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำมากขึ้น มุมมองทางเทคนิคในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าทองคำใกล้จะทดสอบแนวต้านที่ระดับ 2,610-2,615 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้ อาจเปิดทางให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสูงกว่านั้น 

ด้วยราคาทองคำที่สูงกว่า 2,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ความเป็นไปได้ที่จะถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังดูมีความเป็นจริงมากขึ้น การคาดการณ์ของ Fed เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ประกอบกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก กำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำมากขึ้น มุมมองทางเทคนิคในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าทองคำใกล้จะทดสอบแนวต้านที่ระดับ 2,610-2,615 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ได้ อาจเปิดทางให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปสู่ระดับ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสูงกว่านั้น 

ตลาดหุ้นทะยานขึ้น แต่ทองคำยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง 

ในขณะที่ทองคำยังคงพุ่งขึ้น ตลาดหุ้นก็ได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เช่นกัน ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดในสัปดาห์นี้ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาของนักลงทุนต่อทิศทางนโยบายของ Fed แม้จะมีแรงผลักดันในตลาดหุ้น ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่สำคัญ ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเหตุการณ์กระทบกระเทือนทางภูมิรัฐศาสตร์ 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 16 ปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เปิดทางให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยราคาทองคำที่ทะลุเกิน 2,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ และการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทองคำจึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีก 

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางเศรษฐกิจโลก และความต้องการทองคำแท่งที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทองคำมีแนวโน้มขาขึ้น แม้ว่าแนวต้านระยะสั้นอาจชะลอการพุ่งขึ้นบ้าง แต่ความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำจะถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับมือกับความไม่แน่นอนในปัจจุบัน 


การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
หลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า CFDs และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของตราสารทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ด้วยการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและไม่สามารถคาดการณ์ได้ อาจเกิดการสูญเสียที่มากกว่าการลงทุนเริ่มแรกของคุณภายในระยะเวลาอันสั้น 
กรุณาแน่ใจว่าคุณเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายตราสารทางการเงินนั้นอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมใดๆ กับเรา หากคุณไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงที่อธิบายไว้ในที่นี้ ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบด้านกฎหมาย
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้เป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเป็นคำแนะนำในการลงทุน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอ หรือคำเชิญในการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใด ๆ และไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินของผู้รับข้อมูลเฉพาะบุคคล การอ้างอิงถึงผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถบ่งชี้ถึงผลการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างเชื่อถือได้ Doo Prime และบริษัทในเครือไม่รับรองหรือรับประกันความถูกต้องหรือความครบถ้วนของข้อมูลนี้ และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้หรือจากการตัดสินใจลงทุนใด ๆ ที่ทำขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลนี้ 

สารจาก D PrimeIconBrandElement

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

11 ปีแห่งความแข็งแกร่ง หนึ่งก้าวเหนือสิบ ก้าวไปด้วยกัน 

D Prime ฉลองครบรอบ 11 ปีแห่งการเติบโตและพัฒนา พร้อมเทคโนโลยีชาญฉลาด การขยายสู่ระดับโลก และรางวัลพิเศษเพื่อยกระดับนักเทรดทุกคน.

article-thumbnail

2025-11-18 | ข่าวสาร D Prime

D Prime ทำสถิติยอดเทรดสูงสุดในเดือนตุลาคม 2025

D Prime รายงานปริมาณการเทรดเดือนตุลาคม 2025 รวม 296.02 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 55% ต่อเดือน นำโดยทองคำและดัชนีที่เทรดคึกคัก 

article-thumbnail

2025-11-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ทำไมตลาดอาจพุ่งแรง เมื่อสหรัฐฯ ยุติภาวะชัตดาวน์ 

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกแทบไม่มีแรงขับเคลื่อน ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการถูกระงับ รวมถึงรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่นักลงทุนรอคอย ตอนนี้ โอกาสในการเปิดทำการของหน่วยงานรัฐอีกครั้งเพิ่มสูงขึ้น เทรดเดอร์ทั่วโลกจึงกำลังจับตา “การปล่อยข้อมูลครั้งใหญ่” ที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหลายชุด ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว ตั้งแต่ราคาทองคำไปจนถึงค่าเงินดอลลาร์ ไม่มีรายงาน NFP ไม่มีข้อมูล CPI ไม่มีแนวทางจากภาครัฐ มีเพียงความเงียบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ข้อมูลรอบถัดไป” อาจกลายเป็นการประกาศที่ดังที่สุดของปีนี้  นักลงทุน “ขาจร” ในทองคำ ถูกเทขายออกจากตลาดแล้ว  มาดูกราฟจาก BofA Global Research กัน:  อมูลเผยให้เห็นว่า มีการไหลออกจากกองทุนทองคำเป็นมูลค่ารวมกว่า 59 พันล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือนที่ผ่านมา ในภาษาของนักเทรด ช่วงนี้คือเวลาที่ “นักลงทุนขาจร” หรือกลุ่มนักเก็งกำไรระยะสั้นที่ตื่นตระหนกทุกครั้งเมื่อราคาย่อตัว เริ่มทยอยออกจากตลาด  ในทางกลับกัน นี่มักเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มกลับเข้ามาซื้อสะสมอีกครั้ง และสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตอนนี้คือ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มขยับขึ้นอีกครั้ง เมื่อความคาดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกลับมาอยู่ในจุดสนใจของตลาด  ทำไมข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอ อาจเป็นผลดีต่อทองคำและหุ้น  มาดูกันว่าตลาดกำลังคิดอะไรอยู่:  โดยสรุปแล้ว ข่าวร้ายอาจกลายเป็น “ข่าวดี” อีกครั้งสำหรับตลาด  เมื่อไหร่ข้อมูลที่ถูกเลื่อนจะถูกเผยแพร่?  เมื่อรัฐบาลกลับมาเปิดทำการ หน่วยงานกลางจะเร่งดำเนินการเพื่ออัปเดตข้อมูลที่ค้างไว้ มีข้อมูลเศรษฐกิจสะสมราว 6 สัปดาห์ ที่เตรียมจะถูกเปิดเผยออกมา  รายงานการจ้างงานเดือนกันยายน ซึ่งเดิมกำหนดเผยแพร่วันที่ 3 ตุลาคม คาดว่าจะออกมา ภายในไม่กี่วันหลังการเปิดหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลแรกที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานย้อนหลังถึงช่วงปลายฤดูร้อน  แต่ยังไม่จบแค่นั้น กระทรวงแรงงาน ยังคงล่าช้าในส่วนของข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนตุลาคม ซึ่งหมายความว่ารายงาน NFP ถัดไปอาจเลื่อนออกไปอีกราว 2 สัปดาห์  ข้อมูลอื่นๆ เช่น อัตราว่างงานและดัชนีราคาผู้บริโภค ก็อาจล่าช้าเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ เฟดต้องประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยไม่มีข้อมูลเงินเฟ้อใหม่ในมือ  สรุปคือ เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมี “พายุข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหญ่” ปล่อยออกมาพร้อมกัน ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งตลาดหุ้นและทองคำได้อย่างรุนแรง  ความกลัวสุดขีด คือสัญญาณตรงข้ามในตลาด  ตามดัชนี Fear & Greed Index ของ CNN ตลาดในตอนนี้อยู่ในโซน “Extreme Fear” โดยมีคะแนนเพียง 21 จาก 100  ในทางประวัติศาสตร์ ระดับความกลัวสุดขีดมักถูกมองว่าเป็น สัญญาณกลับตัวของตลาด เพราะมักเกิดขึ้นในช่วงที่แรงขายเริ่มหมดและนักลงทุนมืออาชีพเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสะสม อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”  ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในตลาดอยู่ในภาวะสิ้นหวังแบบนี้ ตัวกระตุ้นทางบวกเพียงเล็กน้อย เช่น ข้อมูลการจ้างงานที่ดีขึ้นหรือสัญญาณผ่อนคลายจากเฟด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด แรงดีดตัวของตลาดอย่างรุนแรง ได้ทันทีหลังสิ้นสุดช่วงที่ไม่มีข้อมูลรายงาน  ตลาดขาดข้อมูลมานานเกินไปแล้ว เมื่อไม่มีข้อมูล NFP ตลาดจึงต้องพึ่งพาเพียงการคาดเดา (speculation) นักลงทุนไม่สามารถประเมินสิ่งที่วัดไม่ได้ ทำให้ความผันผวนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกกดทับไว้ เมื่อช่วง “ความมืดของข้อมูล” สิ้นสุดลง ตลาดอาจเผชิญความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหลายด้าน เช่น:  และเมื่อชุดข้อมูลแรงงานชุดแรกถูกเปิดเผย อัลกอริทึมเทรดอัตโนมัติอาจเป็นตัวจุดชนวนการเคลื่อนไหวระลอกใหม่ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง  ทำไมรอบนี้อาจแรงกว่าที่คิด  เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพียงแค่รายงาน NFP เดียวเท่านั้น แต่เกี่ยวกับ การสะสมสถานะในตลาดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกันในครั้งเดียว หากข้อมูลเศรษฐกิจของเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ถูกเปิดเผยในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นหมายความว่านักเทรดจะได้เผชิญกับ “ความจริงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในรอบสามเดือน” ภายในสัปดาห์เดียว  ซึ่งนี่แหละ คือคำจำกัดความของคำว่า ตัวกระตุ้นความผันผวน อย่างแท้จริง  ภาพรวมความเป็นไปได้ของตลาด  สถานการณ์  ผลลัพธ์จากรายงาน NFP  การเติบโตของการจ้างงานชะลอตัว  ยืนยันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  การเติบโตของการจ้างงานแข็งแกร่ง  ทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป  ข้อมูลผสม  ทำให้แนวโน้มการตัดสินใจของเฟดยังไม่ชัดเจน  ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น ปริมาณการซื้อขาย จะพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน และสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” อย่างทองคำและเงิน อาจกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ในตลาดอีกครั้ง  ความเงียบก่อนพายุข้อมูลถาโถม  การไหลออกของเงินจากทองคำยังคงสูงสุด ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด และคลื่นข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนกำลังจะถูกเผยออกมาในเร็วๆ นี้  กราฟสะท้อนภาพได้ชัดเจน “นักลงทุนสายท่องเที่ยว” ได้ออกจากทองไปแล้ว แต่เงินทุนใหญ่เริ่มเข้ามาจับจังหวะสำหรับการรีบาวด์ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะเผชิญข้อมูลที่ล่าช้า และเฟดเตรียมพร้อมเปลี่ยนนโยบายทันทีหากเห็นสัญญาณอ่อนแรง สัญญาณพร้อมแล้วสำหรับการเบรกเอาต์ของทองคำและตลาดหุ้น เมื่อวอชิงตันกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง  ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะเมื่อการปิดหน่วยงานสิ้นสุดลง พายุข้อมูลจะเริ่มต้น และตลาดจะไม่เงียบอีกต่อไป