บทนำ
การคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในวันที่ 18 กันยายน ได้กลายเป็นจุดสนใจสำคัญของตลาดการเงิน คำแถลงล่าสุดจาก เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธาน Fed และรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้เสริมความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากธนาคารกลางปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายจากการต่อสู้กับเงินเฟ้อไปสู่การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
คำกล่าวล่าสุดของ พาวเวลล์ ว่า “ถึงเวลาแล้ว” ยิ่งเพิ่มกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับขนาดของการลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ต่างถกเถียงกันถึงผลกระทบในวงกว้างที่อาจตามมา
การคาดการณ์และแนวโน้มของตลาด
เมื่อการประชุมของ Fed ในเดือนกันยายนใกล้เข้ามา ความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อมูลของ CME’s FedWatch Tool เมื่อวันจันทร์ แสดงให้เห็นว่ามีโอกาส 69% สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน ขณะที่ความเป็นไปได้ของการลดที่มากถึง 50 จุดพื้นฐานอยู่ที่ 31%
บันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ในเดือนกรกฎาคมชี้ให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายบางคนได้เริ่มพิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ย โดยมี “หลายคน” ระบุว่าความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการควบคุมเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน แม้ว่าจะไม่มีการปรับลดในเดือนกรกฎาคม แต่สัญญาณเหล่านี้ ประกอบกับคำกล่าวล่าสุดของ พาวเวลล์ ในงานสัมมนาเศรษฐกิจที่ Jackson Hole แสดงให้เห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนมีความเป็นไปได้สูง
Powell ชี้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยอาจใกล้เข้ามา
ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่งานสัมมนาเศรษฐกิจ Jackson Hole เจอโรม พาวเวลล ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ โดยกล่าวว่า “ถึงเวลาที่จะต้องปรับนโยบายแล้ว” และเสริมว่า “ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงมีความชัดเจน ส่วนเวลาและความเร็วของการลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลใหม่ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และความเสี่ยงที่ต้องประเมิน”
แม้ว่า Powell จะไม่ระบุตัวเลขที่ชัดเจน แต่คำกล่าวของเขาในที่ประชุมได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าธนาคารกลางพร้อมที่จะปรับนโยบายเพื่อป้องกันการอ่อนแอของเศรษฐกิจเพิ่มเติม และนำพาเศรษฐกิจไปสู่ “การทรงตัวของเศรษฐกิจ”
รูปแบบที่ผ่านมา: การปรับลดอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าแทบทุกครั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจมักจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้าหลังจากนั้น ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลจาก St. Louis Fed ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2498 เป็นต้นมา เกือบทุกครั้งที่มีการลดอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจมักจะชะลอตัวตามมา ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นการบ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มชะลอตัวอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ Fed ต้องเข้ามาดำเนินการ เมื่อถึงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ มักจะเป็นช่วงหลายเดือนหลังจากที่มันเริ่มต้นไปแล้ว ซึ่งทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นมาตรการที่ตอบสนองต่อสถานการณ์มากกว่าการป้องกันล่วงหน้า
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีกับพันธบัตรอายุ 2 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในอดีตที่ผ่านมา การเกิดภาวะอัตราผลตอบแทนกลับด้าน —เมื่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว—มักเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจุบัน เส้นอัตราผลตอบแทนกลับด้านมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีบางคนโต้แย้งว่า “ครั้งนี้อาจแตกต่างออกไป” แต่การกลับหัวของเส้นอัตราผลตอบแทนดังกล่าวเคยเป็นสัญญาณที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอดีต
การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed: การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดต้นทุนการกู้ยืม แต่ระดับการปรับลดสามารถส่งผลกระทบต่อทิศทางความเชื่อมั่นของตลาดได้แตกต่างกัน:
- การลดอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อย (25 จุดพื้นฐาน):
วิธีที่ไม่เสี่ยงมากนี้ถูกมองว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่อาจช่วยรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ จากข้อมูลตลาดที่แสดงถึงความเป็นไปได้ถึง 69% การลดลง 25 จุดพื้นฐานอาจสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ FED ในการผ่อนปรนนโยบายการเงินอย่างรอบคอบโดยไม่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งจะช่วยสร้างเส้นทางการสนับสนุนเศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
- การลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น (50 จุดพื้นฐาน):
การลดอัตราดอกเบี้ยที่หนักหน่วงขึ้นอาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้รวดเร็วขึ้นโดยทำให้การกู้ยืมมีต้นทุนที่ถูกลง แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ความเป็นไปได้ 31% ของการลดลง 50 จุดพื้นฐานบ่งชี้ว่าแม้จะมีโอกาสน้อยกว่า แต่ก็ยังเป็นไปได้ การดำเนินการเช่นนี้อาจส่งสัญญาณว่าเฟดมองเห็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นข้างหน้า พาวเวลยังได้แย้มว่าเฟดอาจพิจารณาทางเลือกนี้หากเชื่อว่าตลาดแรงงานกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน โดยเน้นว่า “เราไม่ได้มองหาหรือยินดีให้เกิดการชะลอตัวเพิ่มเติมในสภาพตลาดแรงงาน”
เกมถ่วงดุลของ Fed
มีหลายปัจจัยที่จะส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของ Fed:
- แนวโน้มเงินเฟ้อ:
ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งทำให้ Fed มีความยืดหยุ่นมากขึ้น หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.3% มานานกว่าหนึ่งปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี เจ้าหน้าที่ดูเหมือนมีความมั่นใจมากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางแล้ว “ความเสี่ยงขาขึ้นของเงินเฟ้อลดลงแล้ว” พาวเวลกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
- ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ:
Fed กำลังติดตามตัวชี้วัดอย่างใกล้ชิด เช่น การเติบโตของ GDP ข้อมูลการจ้างงาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภค แม้ว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ตลาดแรงงานก็เริ่มแสดงสัญญาณของความตึงเครียด โดยอัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยและความกังวลเกี่ยวกับสภาพของตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น พาวเวลได้เน้นย้ำว่า “ทิศทางมีความชัดเจน และจังหวะและเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับ การคาดการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และการสมดุลความเสี่ยง”
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน:
ธนาคารกลางยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่การตัดสินใจอาจมีต่อความเชื่อมั่นของตลาด การลดอัตราดอกเบี้ยที่มากเกินไปอาจสร้างความกังวลให้กับตลาด หากถูกมองว่าเป็นสัญญาณของปัญหาเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งขึ้น การเคลื่อนไหวของตลาดเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงถึงความมองโลกในแง่ดี โดยดัชนี S&P 500 ขยับเข้าใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีมากขึ้น
การคาดการณ์ของ FOMC และการคาดหวังอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ในช่วงหลัง 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed (FOMC) ยังมีกำหนดการประชุมอีกสามครั้งในเดือนกันยายน พฤศจิกายน และธันวาคม หาก Fed ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จะเป็นโอกาสทั้งสามครั้งนี้ที่จะดำเนินการได้ จากการคาดการณ์ของเครื่องมือ FedWatch ของ CME อัตราดอกเบี้ยเงินกองทุนของ Fed อาจอยู่ที่ระดับ 4.25% ถึง 4.5%เมื่อสิ้นปี 2567 ซึ่งถือว่าลดลงจากระดับปัจจุบันถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนในประมาณการนี้ แต่แนวโน้มดังกล่าวบ่งชี้ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญภายในเดือนธันวาคม ซึ่งอาจสะท้อนถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านตลาดแรงงาน
โดยสรุป
เมื่อ Federal Reserve เตรียมตัวสำหรับการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 18 กันยายนนี้ เผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลอย่างซับซ้อน การลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่การปรับเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณถึงความมั่นใจของ Fed ในความสำเร็จในการควบคุมเงินเฟ้อและความมุ่งมั่นที่จะรักษาตลาดแรงงานให้แข็งแกร่ง ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่ยังคงปรากฏออกมา การตัดสินใจของธนาคารกลางอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและตลาดการเงินในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ไม่ว่าจะเลือกการลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ 25 จุดพื้นฐาน หรือการลดที่เข้มข้นมากขึ้นที่ 50 จุดพื้นฐาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบอย่างมากต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลก
การเปิดเผยความเสี่ยง
หลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินที่อ้างอิง เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และไม่สามารถคาดการณ์ได้ อาจเกิดการสูญเสียเป็นจำนวนมากที่เกินกว่าการลงทุนเริ่มต้นภายในระยะเวลาอันสั้น
โปรดมั่นใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทก่อนที่จะทำธุรกรรมกับเรา หากคุณไม่เข้าใจความเสี่ยงที่อธิบายไว้ข้างต้น ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน.
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอ หรือคำเชิญในการซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ และไม่ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูล การอ้างอิงถึงผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่มีการรับรองหรือการรับประกันใด ๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือการลงทุนใด ๆ ที่ทำขึ้นตามข้อมูลดังกล่าว