‘หุ้นกลุ่มกลาโหม’ สหรัฐร่วงหนักหลังทรัมป์เน้นสันติภาพแทนสงคราม

2025-03-05 | ข่าวสารการลงทุน , ทรัมป์ , บทความวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์ , หุ้นกลุ่มกลาโหม , หุ้นยุโรป , หุ้นสหรัฐ

หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หรือเรียกกันอีกชื่อว่า “หุ้นกลุ่มกลาโหม” ของสหรัฐกำลังได้รับผลกระทบ นักลงทุนต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังจากทรัมป์ประกาศยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานาน  

ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายบริษัทที่เกี่ยวกับด้านการป้องกันประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้นจากความขัดแย้งทั่วโลก แต่ตอนนี้เมื่อทรัมป์หันมาให้คำมั่นว่าจะลดการแทรกแซงทางทหาร ทำให้สถานการณ์ในตลาดตอนนี้เปลี่ยนไปยังไงบ้าง? มาอ่านต่อกัน 

อุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้รับผลประโยชน์จากสงครามและความขัดแย้งมาโดยตลอด การใช้จ่ายทางทหารถูกใช้ไปกับเชื้อเพลิง อาวุธ และการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เมื่อมีส 

ครามเกิดขึ้น มูลค่าหุ้นก็เพิ่มขึ้นตาม แต่ในทางกลับกัน เมื่อมีการเจรจาเพื่อสันติภาพ ทำให้มูลค่าลดลง  

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ทรัมป์ต้องการที่จะลดบทบาททางทหารและหันมาให้ความสำคัญกับการเจรจาทางการทูตแทน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลและเทขายหุ้นของอุตสาหกรรมนี้  

ทรัมป์ประกาศชัดเจนว่าไม่มีสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นน หรือ No more endless wars นั่นหมายความว่าสหรัฐจะถอนกำลังทหารออกจากจุดต่างๆทั่วโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ  

  • ถอนกำลังทหารออกจากตะวันออกกลางและยุโรป  
  • ลดงบประมาณทางทหารและให้ความสำคัญกับนโยบายในประเทศ  
  • ลดการแทรกแซงคสามขัดแย้งระหว่างประเทศ  

สำหรับบริษัทด้านการป้องกันประเทศอาจตกอยู่ที่นั่งลำบาก เพราะการทำสัญญากับรัฐบาลอาจลดลง การซื้อขายอาวุธระหว่างประเทศอาจชะลอตัวลง ทำให้นักลงทุนมองเห็นถึงความเสี่ยงและทะยอยขายหุ้นออกไป  

เริ่มจากวิเคราะห์ผลประกอบการของหุ้นป้องกันประเทศของสหรัฐ จะเห็นว่ากำลังอยู่ในจุดขาลง  

หุ้นกลาโหมสหรัฐ NOC

ตลอดเดือนที่ผ่านมา: 

หุ้น ผลประกอบการ 
Lockheed Martin (LMT)                -11.74% 
Northrop Grumman: (NOC)                -10.84% 
General Dynamics (GD)                -9.49% 
AXON Enterprise (AXON)                -15.53 

แต่ในขณะที่หุ้นยุโรปกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  

หุ้นกลาโหมยุโรป RHM
หุ้น ผลประกอบการ 
Rheinmetall (RHM.DE)                +32.70 
Thales (FR)               +23.11 
BAE Systems (GB)                +8.24 
Airbus (EU)                +1.5 

การดิ่งลงของหุ้นกลุ่มนี้อาจเกี่ยวข้องกับข่าวที่ว่า กระทรวงกลาโหมของสหรัฐกำลังเตรียมตัดงบประมาณก่อนการตรวจสอบความโปร่งใสของงบประมาณกลาโหม จาก DOGE (Department of Government Efficiency) ที่นำโดยอีลอน มักส์  

แต่ในทางกลับกัน หุ้นกลุ่มนี้ดันเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจเนื่องจากผลประกอบการเป็นไปในทิศทางขาขึ้น และคาดว่าการใช้จ่ายทางทหารของยุโรปจะเพิ่มมากขึ้น เพื่อชดเชยบทบาทของรัฐบาลสหรัฐที่ลดลง  

ทรัมป์มีแผนลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) 8% ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี  

ถือว่าเป็นงบประมาณที่มีมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ โดยงบประมาณส่วนนี้จะถูกย้ายไปใช้กับความมั่นคงชายแดนและเทคโนโลยีโดรนแทน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดและเป็นที่มาของหุ้นป้องกันประเทศร่วงหนัก   

ตัวอย่างบริษัทมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมกลาโหมอย่าง Palantir Technologies เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้าน AI และ Big Data Analytics ที่ให้บริการแก่หน่วยข่าวกรอง กองทัพและภาคอื่นๆ ซึ่งหลังจากที่มีการประกาศข่าวเรื่องงบประมาณออกมา ส่งผลให้หุ้น Palantir Technologies ลดลงถึง 10%  

โรเบิร์ต ซาเลสเซส รองปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การตัดงบประมาณนี้จะช่วยปรับปรุงค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้อง อาจได้รับผลประทบในแง่ของการเสียหายรายได้มหาศาล  

ทรัมป์ต้องการหยุดสงครามในยูเครนและหันมาสนับสนุนให้มีการเจรจาแบบสันติภาพ แต่ทาง Zelensky ผู้นำยูเครนกลับไม่เห็นด้วย และต้องการสู้ต่อ  

ทางด้านสหภาพยุโรป (EU) ก็ไม่เห็นด้วยจากการที่มีการยุติสงครามที่รวดเร็วเกินไป และยังมองว่ารัสเซียยังคงเป็นภัยคุกคามระยะยาว  

สถานการณ์เหล่านี้ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลาโหม เพราะมีความเชื่อว่าทางยุโรปเองก็ต้องให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายทางทหารมากขึ้น เพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกภัยคุกคาม ส่งผลให้บริษัทเยอรมัน ฝรั่งเศษ และอังกฤษได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้  

นโยบาย “American First” ของทรัมป์กำลังสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพันธมิตรทั่วโลก สหรัฐถอนตัว ทำให้ NATO วิตกกังวลว่าพวกเขาจะสามารถพึ่งพาสหรัฐด้านการปกป้องประเทศได้อยู่ไหม หลายประเทศก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจ  

ความไม่แน่นอนในพันธมิตร NATO ทำให้ประเทศต่างๆในยุโรปเริ่มจัดซื้ออาวุธ รถถัง และเครื่องบินรบมากขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หุ้นยุโรปดีดขึ้นสวนทางกับหุ้นกลาโหมของสหรัฐ  

งบกลาโหมสหรัฐ แตะจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์

ว่านี่อาจจะไม่ได้เป็นจุดจบของหุ้นกลุ่มนี้ แต่เป็นเพียงแต่สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเท่านั้น  

เรื่องนี้มองได้ 2 แง่ ถ้าหากทรัมป์ยังคงเดินหน้ามุ่งเน้นสันติภาพ หุ้นกลาโหมก็ยังคงซบเซา แต่ถ้าหากความขัดแย้งกลับขึ้นมาอีกครั้ง ก็อาจทำให้หุ้นกลุ่มนี้ฟื้นตัวขึ้นมา  

ซึ่งไม่ต่างกับนักวิเคราะห์ที่ก็มองเป็นหลากหลายมุมมอง บางฝ่ายอาจมองว่านี่คือโอกาสในการเข้าซื้อ บางฝ่ายเตือนว่าอุตสาหกรรมอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่  

สิ่งที่น่าเก็บไปคิด :  

งบประมาณกลาโหมในปี 2025 จะมีแนวโน้มลดหรือไม่?  

ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์ หากเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก หุ้นก็มีแนวโน้มกลับมา  

รายงานผลประกอบการ บริษัทอาจต้องปรับคาดการณ์รายได้  

คิดว่าไม่จำเป็นต้องกังวลมากเท่าไหร่ เพราะถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนงลประมาณ แต่อุตสาหกรรมกลาโหมจะยังคงมีความสำคัญระยะยาว สหรัฐยังคงพึ่งพากำลังทางทหาร แต่แค่รูปแบบการใช้เงินอาจเปลี่ยนไป  

บริษัทอาจเปลี่ยนไปเน้นเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น Cybersecurity ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีอื่นๆ แทนการผลิตอาวุธแบบเดิม 

นักลงทุนอาจลองพิจารณาปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาของกลาโหม แต่ก็ต้องถามตัวเองว่าคุณพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?  

ติดตามบทวิเคราะห์อื่นๆของเราที่นี่  

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-05-07 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

100 วันแรกของทรัมป์: ภาษีนำเข้ากระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ 

ผ่านมาเพียงเล็กน้อยกว่า 100 วันหลังทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว แต่ตลาดก็เริ่มรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว  ตั้งแต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไปจนถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและคาดการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป มาตรการเริ่มต้นของรัฐบาลทรัมป์กำลังวางรากฐานให้กับเศรษฐกิจสหรัฐในเฟสถัดไป  ในบทความนี้ เราจะถอดรหัสสัญญาณจริงจากตลาด ไม่ใช่แค่พาดหัวข่าว ตั้งแต่ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ไปจนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการว่างงาน  และนี่คือสิ่งที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรจับตาต่อจากนี้  ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ  สัญญาณชัดเจนจาก 100 วันแรกของทรัมป์คืออะไร? ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง  ลองดูกราฟนี้จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน:  หลังจากทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน ความคาดหวังเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นทันที แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 แม้จะมีการประกาศชะลอการขึ้นภาษีบางส่วนในวันที่ 9 เมษายน แต่ระดับความคาดหวังยังคงสูง แสดงให้เห็นว่าเมื่อความกังวลเงินเฟ้อเริ่มฝังรากแล้ว มันไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน  ประเด็นสำคัญ: แม้การขึ้นภาษีจะเริ่มชะลอลง แต่ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นด้านเงินเฟ้อก็เกิดขึ้นแล้ว ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างก็เริ่มเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้น  ความเชื่อมั่นของผู้นำธุรกิจกำลังลดลง  ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัว ซีอีโอก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันเช่นกัน  ลองดูดัชนีความเชื่อมั่นของซีอีโอ (CEO Confidence Index) ซึ่งสะท้อนมุมมองของผู้นำธุรกิจต่อเศรษฐกิจในอีกหนึ่งปีข้างหน้า  สังเกตได้ว่าค่าดัชนีล่าสุดร่วงลงแรงจนใกล้ระดับ 5 ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในระดับต่ำสุดของทศวรรษ ประเด็นนี้สำคัญ เพราะซีอีโอเป็นผู้กำหนดทิศทางการจ้างงาน การลงทุน และการขยายธุรกิจ ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลดลง ก็มักจะเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  ทำไมนักเทรดควรใส่ใจประเด็นนี้? เพราะความเชื่อมั่นของซีอีโอที่ลดลง มักนำไปสู่การคาดการณ์ผลประกอบการที่ระมัดระวังมากขึ้น […]

article-thumbnail

2025-04-25 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

แม้หุ้นจะร่วง ทำไม “หุ้น Palantir” ถึงพุ่งแรงในปี 2025? 

ในปี 2025 ตลาดหุ้นดูคล้ายสนามรบ หุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มเติบโตหลายตัวร่วงหนัก นักลงทุนต่างรีบเช็กคำสั่ง stop-loss กันรัวๆ แต่ท่ามกลางความปั่นป่วนนี้? “หุ้น Palantir” ไม่เพียงแค่ยืนระยะได้…แต่มันกำลังพุ่งขึ้น  ในขณะที่ตลาดโดยรวมเข้าสู่โหมดปรับฐาน หุ้นของ Palantir Technologies (PLTR) กลับกลายเป็นดาวรุ่งประจำปี ราคาพุ่ง เขียวทั้งกระดาน พาดหัวข่าวเป็นบวก และวอลล์สตรีทก็พูดถึงไม่ขาดสาย  แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Palantir โดดเด่นสวนกระแสในปีที่หลายบริษัทกลับตกต่ำ?  สัญญารัฐยังไหลเข้าไม่หยุด  หัวใจหลักของธุรกิจ Palantir คือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับหน่วยงานรัฐบาล และในปี 2025 ความสัมพันธ์นี้ไม่เพียงคงอยู่ แต่ยิ่งแน่นแฟ้นกว่าเดิม  ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านกลาโหมทั่วโลก หลายประเทศเริ่มเทงบลงทุนกับระบบวิเคราะห์ข้อมูลสนามรบ ข่าวกรองด้วย AI และระบบเฝ้าระวังขั้นสูง ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Palantir  ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีฝั่งผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายที่ลดลงและงบโฆษณาที่ถูกตัด Palantir กลับมีลูกค้าภาครัฐที่ยิ่งอัดงบเพิ่ม และมันก็สะท้อนชัดในงบการเงินของบริษัท  AI กำลังบูม และ Palantir คือยักษ์เงียบที่คนไม่พูดถึง  ใช่, NVIDIA อาจเป็นหน้าตาของกระแส AI แต่ Palantir […]

article-thumbnail

2025-04-17 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ภาษีทรัมป์ กระทบกับตลาดการเงินทั่วโลกอย่างไรในปี 2025?  

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้นโยบาย “ภาษีศุลกากรตอบโต้” (Reciprocal Tariff) หรือ ภาษีทรัมป์ ฉบับใหม่ ที่มุ่งเป้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายของตลาดอย่างมาก การเคลื่อนไหวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และส่งสัญญาณถึงการปรับโครงสร้างใหม่ของระบบการค้าโลก  การประกาศดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วตลาดการเงินทั่วโลก โดยเกิดแรงตอบรับอย่างฉับพลันและรุนแรงจากทั้งนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ แล้วภาษีชุดใหม่ของทรัมป์มีรายละเอียดอย่างไร? และจะส่งผลต่อทิศทางของตลาดการเงินในปี 2025 อย่างไร? มาดูในบทความนี้กัน   มีอะไรอยู่ในนโยบายภาษีทรัมป์?  เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เปิดตัวกรอบนโยบายภาษีใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการปัญหาการขาดดุลทางการค้าระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญดังต่อไปนี้:  จากงานวิจัยของ Yale University พบว่า มาตรการใหม่นี้ส่งผลให้ อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 22.5% ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1909 และมากกว่าค่าประมาณการณ์เดิมที่อยู่ราว 10% ถึง 2 เท่า  อะไรอยู่เบื้องหลังการผลักดันนโยบายภาษีของทรัมป์?  นโยบายภาษีของทรัมป์มีเป้าหมายหลักอยู่ 3 ข้อสำคัญ:  การตอบรับของตลาดอย่างรุนแรงและตอบกลับแบบทันที  หลังจากมีการประกาศนโยบายภาษีใหม่ ตลาดการเงินตอบสนองอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งในแง่ของ :   ตลาดหุ้นดิ่งแรง  ดอลลาร์อ่อนค่า  ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน  […]