ทองคำ vs บิตคอยน์: อะไรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในปี 2025? 

2025-07-03 | ทองคำ , บิทคอยน์ , ปริมาณเงิน M2 , พลวัตของตลาด , สินทรัพย์ปลอดภัย , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์ , เฟด

เมื่อพูดถึงการป้องกันความผันผวนของตลาด มีสินทรัพย์อยู่สองประเภทที่โดดเด่น: ทองคำและบิตคอยน์ หนึ่งในนั้นได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี ส่วนอีกตัวแม้จะอายุน้อยแต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโลกการเงินแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง 

และในตอนนี้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มคลี่คลายลง และตลาดต่างจับตาการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพาวเวลล์ สินทรัพย์ทั้งสองนี้ก็กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการดึงดูดเงินลงทุน 

แล้วอะไรจะกลายเป็น “หลุมหลบภัยทางการเงิน” สำหรับที่เหลือของปี 2025? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน 

การเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง รวมถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทรัมป์ในการลดความตึงเครียดระดับโลก ได้ช่วยสลายความเสี่ยงระยะสั้นครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันก็เริ่มเย็นลง ขณะที่ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อก็เริ่มลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่า ความสนใจของตลาดจะหันไปจับตาธนาคารกลางสหรัฐว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด 

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทองคำและบิตคอยน์จะได้พิสูจน์ว่าใครคือผู้นำตัวจริงในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ทั้งสองต่างมีแนวโน้มไปได้ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ทั้งสองได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง และทั้งสองยังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่วิตกกังวลและต้องการปกป้องอำนาจการซื้อ 

แต่ในวันนี้ ใครคือผู้ที่ยืนเหนือกว่า? 

ก่อนจะลงลึกว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดของทั้งสองฝั่ง มาดูภาพรวมกันก่อนว่า ทองคำและบิตคอยน์แตกต่างกันอย่างไรในปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ 

ตอนนี้คุณก็เห็นภาพรวมแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าทำไมทองคำอาจยังเปล่งประกายได้อีกในปีนี้ และอะไรอาจเป็นแรงผลักดันให้บิตคอยน์พุ่งแรงยิ่งขึ้น 

มาเริ่มกันที่ทองคำ ล่าสุดราคาทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดใหม่ใกล้ 3,500 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย 

อะไรคือปัจจัยหนุน? เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ประจวบเหมาะ ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง การเข้าซื้อของธนาคารกลาง และความกังวลเรื่องเสถียรภาพหนี้ในระยะยาว แม้ว่าเบี้ยความเสี่ยงจากสงครามจะเริ่มลดลง แต่แนวโน้มของราคาทองคำก็ยังดูแข็งแกร่ง 

หากคุณลองดูปัจจัยทางเทคนิค จะเห็นว่าทองคำกำลังเข้าสู่ช่วงสะสมครั้งใหญ่เหนือระดับ 3,500 ดอลลาร์ รูปแบบนี้เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงปี 2011 ด้วยรูปแบบ “ถ้วยและด้ามจับ” ระยะยาว หากแพทเทิร์นนี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็มีโอกาสสูงที่ราคาทองจะทดสอบระดับ 4,000 ดอลลาร์ และอาจไปไกลกว่านั้น 

ทองคำยังถือเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงชั้นยอด ไม่มีความเสี่ยงจากเทคโนโลยี ไม่มีคู่สัญญา ไม่ต้องห่วงเรื่องการแฮก เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้และได้รับความไว้วางใจมานานนับพันปี 

แต่อย่าลืมว่า ทองคำก็มีข้อจำกัดเช่นกัน มันเคลื่อนไหวช้า ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย และการปรับขึ้นของราคาก็เกิดในรอบที่กินเวลานาน ซึ่งอาจเป็นบททดสอบของนักลงทุนที่ต้องใช้ความอดทนอย่างแท้จริง 

มาที่ฝั่งบิตคอยน์กันบ้าง 

ตอนนี้ราคาของ BTC แกว่งตัวอยู่ระหว่าง 100,000 ถึง 110,000 ดอลลาร์มาตลอดทั้งเดือน นักลงทุนสถาบันยังคงแห่เข้าลงทุนผ่าน ETF ขณะที่ข่าวลือเกี่ยวกับการสะสมบิตคอยน์ของทรัมป์ยิ่งช่วยเติมเชื้อไฟให้มากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ปริมาณเงิน M2 ยังบ่งชี้ว่าบิตคอยน์อาจมีช่องว่างให้พุ่งขึ้นต่อได้อีก ในอดีต ราคาบิตคอยน์มักเคลื่อนไหวตาม M2 ด้วยระยะเวลาเลื่อนประมาณ 12 สัปดาห์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มราคาอาจยังตามหลังสภาพคล่องทั่วโลกอยู่ 

อย่าลืมว่า บิตคอยน์มีจุดแข็งที่ทองคำไม่มี นั่นคือ “พลังระเบิดทางราคา” ย้อนกลับไปในปี 2011 ราคาซิลเวอร์เคยพุ่งจาก 35 ดอลลาร์ไปถึง 50 ดอลลาร์ในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ และบิตคอยน์สามารถทำแบบนั้นได้เร็วกว่า ด้วยปัจจัยกระตุ้นที่น้อยกว่ามาก 

บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ไร้พรมแดน และมีจำนวนจำกัดอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมในยุคที่รัฐบาลต่างพิมพ์เงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจ บิตคอยน์กลับยิ่งได้รับความนิยมจากนักลงทุนหน้าใหม่ 

แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า บิตคอยน์มีความผันผวนสูง การเหวี่ยงขึ้นลงเป็นตัวเลขสองหลักในวันเดียวถือเป็นเรื่องปกติ การลงทุนในบิตคอยน์จึงไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่ยังต้องอาศัยการเติบโตของการยอมรับ เทคโนโลยี และความชัดเจนด้านกฎระเบียบ มันไม่ใช่สินทรัพย์คลาสสิกแบบทองคำ แต่เปรียบได้กับ “รถสปอร์ตสมรรถนะสูง” ที่แรง เร็ว และท้าทาย 

แล้วใครคือผู้ชนะ? 

คำตอบขึ้นอยู่กับกรอบเวลาและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ 

  • ทองคำ เคลื่อนไหวช้าแต่มั่นคง และยังคงเชื่อถือได้อย่างมาก มักจะเริ่มขยับในช่วงท้ายของรอบวัฏจักรเศรษฐกิจ เมื่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงอย่างรุนแรง หรือเมื่อค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนตัว เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสบายใจ มีประวัติให้ย้อนดูยาวนาน และไม่อยากเจอความผันผวนรุนแรง 
  • บิตคอยน์ เหมาะกับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่า มันได้รับแรงขับเคลื่อนโดยตรงจากสภาพคล่องทั่วโลก ซึ่งหากเฟดลดดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ก็อาจผลักดันให้ราคาบิตคอยน์ทำสถิติใหม่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ 

แนวทางที่ฉลาดกว่านั้น? หลายคนเลือกผสมทั้งสองแบบ โดยจัดพอร์ตบางส่วนไว้ที่ทองคำเพื่อเป็นหลักประกัน และอีกส่วนลงทุนในบิตคอยน์เพื่อโอกาสการเติบโต เมื่อรวมกันแล้ว พอร์ตแบบนี้สามารถเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงยุคใหม่ได้ ทั้งจากการกดดันทางการเงินและเงินเฟ้อ 

1. ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed): 
หากพาวเวลล์เริ่มลดดอกเบี้ย ทั้งทองคำและบิตคอยน์อาจพุ่งขึ้นพร้อมกัน ดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว และทำให้สินทรัพย์ทางเลือกน่าสนใจยิ่งขึ้น 

2. ข้อมูลเงินเฟ้อ: 
หากราคาน้ำมันพุ่งอีกครั้ง หรือมาตรการภาษียังไม่ถูกยกเลิก อัตราเงินเฟ้ออาจยังสูงอยู่ และกดดันให้เฟดคงดอกเบี้ย ซึ่งมักส่งผลดีต่อราคาทองคำโดยตรง 

3. กระแสเงินจากสถาบัน: 
การเปิดตัว Bitcoin ETF แบบ Spot เพิ่มขึ้น กองทุนความมั่งคั่งของรัฐเข้าลงทุนใน BTC หรือธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำ ล้วนสามารถสร้างแรงผลักดันรอบใหม่ให้กับตลาด 

4. เทคโนโลยี vs. ภาพใหญ่เศรษฐกิจโลก: 
บิตคอยน์ต้องการการยอมรับทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทองคำต้องการเพียงแค่ให้ภาระหนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มสูงมาก โดยล่าสุดหนี้ทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดกว่า 324 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว 

ทองคำกับบิตคอยน์ไม่ใช่ศัตรูกัน พวกมันคือ “เพื่อนร่วมทีม” ในพอร์ตการลงทุนที่ต้องการปกป้องตัวเองจากระบบเศรษฐกิจโลกที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้และสภาพคล่อง 

ในตอนนี้ เมื่อความเสี่ยงจากสงครามเริ่มจางหาย และความสนใจหันไปที่นโยบายของธนาคารกลาง สินทรัพย์ทั้งสองอาจ “เปล่งประกาย” พร้อมกัน คำถามที่แท้จริงไม่ใช่ว่าคุณควรเลือกทองคำหรือบิตคอยน์ แต่คือ “ควรมีแต่ละอย่างในสัดส่วนเท่าไหร่” จึงจะเหมาะกับกลยุทธ์ของคุณที่สุด 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

article-thumbnail

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]

article-thumbnail

2025-09-08 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย ทำไมนี่จึงสำคัญ และนักเทรดหุ้นควรจับตาอะไรในเดือนกันยายน