หลังประชุม ทรัมป์–ปูติน จับตาสินค้าโภคภัณฑ์ตัวนี้

2025-08-21 | ทรัมป์ , น้ำมัน , ปูติน , พลวัตตลาด , สินค้าโภคภัณฑ์ , เจาะลึกตลาดรายสัปดาห์

ข่าวพาดหัวมาแล้วก็ผ่านไป ตลาดไม่ไหวติง แต่คุณอย่าเพิ่งตายใจ ใต้ผิวน้ำอันสงบนั้น มีบางสิ่งสำคัญเพิ่งเกิดขึ้น: ทรัมป์กับปูตินนั่งคุยกันแบบตัวต่อตัวที่อลาสกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา และเมื่อสองมหาอำนาจด้านภูมิรัฐศาสตร์เปิดปากพูดคุยกัน หลังความเงียบอันเย็นเยียบหลายปี ผลกระทบที่ตามมาอาจไม่ฉับไวเหมือนการขึ้นดอกเบี้ย แต่แรงกระเพื่อมจะรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหว 

และเมื่อมันระเบิดขึ้นมา ก็จะไม่มีคำว่าเบาเลย 

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แต่มันอาจเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่จะพลิกโฉมตลาดพลังงาน พันธมิตรระหว่างประเทศ และแม้แต่การคาดการณ์เงินเฟ้อที่กำลังมุ่งหน้าสู่ปี 2026. 

การประชุมที่ (เงียบๆ) แต่เขยื้อนตลาดได้ 

ต่างจากซัมมิตทั่วไปที่เต็มไปด้วยข่าวพาดหัวและวาทะเร้าอารมณ์ การพบกันของทรัมป์–ปูตินครั้งนี้กลับเรียบง่ายอย่างน่าประหลาด 

ไม่มีข้อตกลงสันติภาพ ไม่มีการเจรจาทะลุทางตัน ไม่มีการจับมือบนเวทีใหญ่พร้อมแสงสีเสียงอลังการ 

แต่นั่นแหละ คือเหตุผลที่มันสำคัญ 

เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ดูเหมือนว่าวอชิงตันกับมอสโกจะกลับมาคุยกันอีกครั้งในเบื้องหลัง และในโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก การสื่อสารคือสินทรัพย์ โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งในยูเครนยังไม่มีวี่แววจะยุติ 

นักเทรดเริ่มตั้งคำถามกันแล้วว่า: หรือว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายความตึงเครียด? 

ทำไมสินค้าโภคภัณฑ์นี้ควรอยู่ในเรดาร์ของคุณ 

อย่าอ้อมค้อมเลย: มันคือน้ำมัน 

แม้จะไม่มีการเคลื่อนไหวด้านราคาทันที แต่นักเทรดรู้ดีว่าเมื่อใดที่มีสัญญาณแห่งสันติภาพ แม้เพียงแค่จุดเริ่มต้น ก็อาจทำให้เส้นทางการขนส่งที่ถูกปิดกลับมาเปิดได้ มาตรการคว่ำบาตรอาจผ่อนคลายลง และค่าความเสี่ยงที่ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซีย–ยูเครนอาจเริ่มคลี่คลาย ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมหน้าตลาดพลังงานทั้งหมด 

ตำแหน่งถือครองแบบเก็งกำไรฝั่ง Long ในน้ำมันดิบ WTI ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ตามข้อมูลล่าสุดจาก CFTC การวางเดิมพันฝั่งขาขึ้นลดลงอย่างมาก ซึ่งสะท้อนความไม่มั่นใจอย่างลึกซึ้งต่อแนวโน้มระยะสั้นของราคาน้ำมัน 

เมื่อจำนวนการถือ Long ต่ำขนาดนี้ มันมักจะหมายถึงความมั่นใจในทิศทางขาขึ้นยังไม่เพียงพอ… อย่างน้อยก็ในตอนนี้. 

ค่าพรีเมียมแห่งสันติภาพในตลาดน้ำมัน 

ราคาน้ำมันมักรวมสิ่งที่นักเทรดเรียกว่า “ค่าพรีเมียมความขัดแย้ง” ซึ่งก็คือการปรับขึ้นราคาที่สะท้อนถึงความเสี่ยงของสงคราม การลดกำลังการผลิต หรือปัญหาด้านการขนส่งเมื่อเกิดความตึงเครียด 

นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ค่าพรีเมียมนี้ก็เพิ่มสูงขึ้น รัสเซียยังคงเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียก็ทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกต้องสลับเส้นทางใหม่จากยุโรปไปเอเชีย 

ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากความพยายามทางการทูตเริ่มเดินหน้าไปสู่สันติภาพอย่างจริงจัง แม้จะไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ตลาดก็อาจเริ่มสะท้อน “การปลดค่าความเสี่ยง” ออกจากราคาแล้ว. 

กราฟชี้สัญญาณก่อนพายุจะมา 

กราฟด้านบนอธิบายภาพรวมได้ชัดเจนมาก 

แม้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงขึ้น แต่แม้แต่สงครามระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลก็ยังไม่สามารถดันราคาน้ำมันดิบให้ทะลุแนวโน้มขาลงที่ยาวนานได้ 

กราฟแสดงให้เห็นชัดว่าราคาตอบสนองอย่างไร หรือพูดให้ถูกคือไม่ตอบสนองเลย ทุกครั้งที่พยายามดีดตัวขึ้นก็ถูกต้านไว้ที่แนวต้านขาลงเดิม ซึ่งยืนยันได้ว่าฝั่งขายยังคงควบคุมตลาดอยู่ 

ถ้าเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ยังไม่สามารถกระตุ้นการเบรกทะลุขึ้นได้ นั่นก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงทางพื้นฐาน จนกว่าเส้นแนวโน้มนี้จะถูกเบรกอย่างชัดเจน โอกาสปรับตัวขึ้นก็ยังถูกจำกัด และบรรยากาศในตลาดยังคงเอนเอียงไปทางขาลง 

ถ้ามีการเบรกทะลุจริงจะหมายความว่าอย่างไร 

นี่คือปัจจัยที่เทรดเดอร์กำลังจับตา: 

  • การส่งออกน้ำมันดิบของรัสเซียเพิ่มขึ้น 
    มาตรการคว่ำบาตรอาจถูกผ่อนคลายหรือเปลี่ยนแปลง ทำให้น้ำมันของรัสเซียกลับเข้าสู่ตลาดโลกอีกครั้ง 
  • ราคาพลังงานในยุโรปกลับสู่ภาวะปกติ 
    การนำเข้าพลังงานของยุโรปอาจกลับมามีเสถียรภาพ ช่วยลดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ 
  • การปรับนโยบายของ OPEC+  
    รัสเซียเป็นผู้เล่นหลักในกลุ่ม OPEC+ ทุกการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจะส่งผลต่อลยุทธ์ของกลุ่มนี้ 

ผลลัพธ์ทั้งหมดนี้มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันคือ แรงกดดันต่อราคาน้ำมัน หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการไหลของอุปทานและกลยุทธ์การถือครอง 

ทำไมตลาดยังไม่ตอบสนอง 

ถ้าทุกอย่างดูมีผลกระทบขนาดนี้ ทำไมน้ำมันดิบถึงไม่กระโดดขึ้นหรือลงหลังการประชุมทรัมป์–ปูติน? 

คำตอบง่ายมาก: ตลาดต้องการมากกว่าการจับมือ พวกเขาต้องการการดำเนินนโยบายต่อ ไม่ใช่แค่การทูตจนจบ ตอนนี้การประชุมทรัมป์–ปูตินเป็นแค่ “สัญญาณ” ไม่ใช่ “การตัดสินใจ” 

แต่สัญญาณก็มีความสำคัญ 

จริงๆ แล้วเงินฉลาดมักจะวางโพสิชันล่วงหน้าก่อนที่เรื่องราวจะขึ้นหน้าหนึ่งข่าว นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ควรมองการประชุมนี้ว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่เหตุการณ์หลัก แต่เป็นประกายไฟที่อาจจุดชนวนให้เกิดไฟจริงได้ 

แม้พาดหัวข่าวจะเน้นเรื่องการทูต แต่ข้อมูลการวางโพสิชันของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ตามเทรนด์กลับบอกเล่าเรื่องราวอีกแบบ 

ณ วันที่ 15 สิงหาคม ราคาน้ำมันดิบลดลงควบคู่กับการลดโพสิชันของ CTA (Commodity Trading Advisor) ซึ่งใช้เป็นตัวแทนของแนวโน้มการเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายใหญ่ กองทุนเหล่านี้ที่มักจะเกาะเทรนด์แรงๆ ตอนนี้เริ่มลดความเสี่ยงของตัวเองลง พูดง่ายๆ คือ เงินฉลาดอาจกำลังอยู่ฝั่งขาลงก็เป็นได้ 

ตลาดอื่นก็กำลังจับตามองเช่นกัน 

อย่าลืมว่าน้ำมันไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างโดดเดี่ยว การเปลี่ยนแปลงในพลวัตด้านพลังงานอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และแม้กระทั่ง คู่สกุลเงินอย่าง USD/RUB หรือ EUR/USD หุ้นพลังงานในสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่อาจตอบสนองล่วงหน้าก่อนจะมีข้อตกลงสันติภาพจริงเสียอีก 

ถ้าความตึงเครียดผ่อนคลาย กลยุทธ์แบบป้องกันความเสี่ยงอาจถูกปลดล็อก และ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอาจกลับมาโดดเด่น หรือเกิดการสลับกลุ่ม ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของน้ำมัน 

นั่นคือเหตุผลที่การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางการทูตเหล่านี้สามารถมอบความได้เปรียบให้กับเทรดเดอร์ ไม่ใช่แค่ในตลาดน้ำมัน แต่รวมถึงในภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกด้วย 

ประเด็นสำคัญจากการประชุมทรัมป์–ปูติน 

การประชุมระหว่างทรัมป์กับปูตินอาจดูเหมือนแค่การพบกันธรรมดา ไม่มีดอกไม้ไฟ ไม่มีข้อตกลงสำคัญ ไม่มีกราฟพุ่งแรงให้ตื่นตาตื่นใจ 

แต่ถ้าคุณสังเกตดีๆ นี่คือ โดมิโนตัวแรก ในแถวที่ยาวมาก 

ถ้าตอนนี้คุณกำลังดูตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ อย่ามองแค่ทองคำ คริปโต หรือทองแดง 

น้ำมันคือตัวใหญ่ที่เงียบ และมันอาจจะไม่เงียบอีกต่อไปในเร็วๆ นี้ 

เงินฉลาดจะจับตาดูน้ำมัน คุณก็ควรเช่นกัน 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

article-thumbnail

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]

article-thumbnail

2025-09-08 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย ทำไมนี่จึงสำคัญ และนักเทรดหุ้นควรจับตาอะไรในเดือนกันยายน