
งาน Met Gala 2025 ยังคงสร้างความตื่นตาในแบบเฉพาะตัวจากแฟชั่นโอต์กูตูร์สุดอลังการ เหล่าคนดังที่เจิดจรัสและกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดียแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Chanel และ Valentino ครองพื้นที่สื่อด้วยดีไซน์อันน่าทึ่งและเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก
แต่เบื้องหลังแสงแฟลชและพรมแดงอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเผชิญวิกฤตรอบใหม่: คลื่นพายุที่รวมเอาภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต้นทุนที่สูงขึ้นและความผันผวนของการค้าโลกเข้าไว้ด้วยกัน
ใจกลางของความปั่นป่วนนี้คือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาอีกครั้ง และกำลังบีบทั้งยักษ์ใหญ่อย่าง LVMH และ Hermès ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นราคาย่อมเยาอย่าง Shein
แม้ว่าแฟชั่นระดับโอต์กูตูร์จะยังคงเปล่งประกาย แต่โครงสร้างทางการเงินของอุตสาหกรรมแฟชั่นกลับเริ่มร้าวลึกหรือว่าภาษีนำเข้ากำลังเปลี่ยนรันเวย์ให้กลายเป็นสัญญาณอันตราย?
นโยบายการค้าของทรัมป์: ภัยคุกคามต่อกำไรของวงการแฟชั่น
นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่กลับมาอีกครั้งกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระบบแฟชั่นโลก แม้ว่าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้จากสหภาพยุโรปออกไป 90 วันแต่สหรัฐฯก็ได้ประกาศเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปแล้วโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศสและอิตาลีแหล่งหลักของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Valentino
และนี่คือสิ่งที่อาจตามมา:
- ภาษี 20% สำหรับเสื้อผ้าและสินค้าหนังจากยุโรป
- ภาษี 31% สำหรับนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เริ่มรุกคุมเข้ม fast fashion โดยในวันที่ 2 พฤษภาคม รัฐบาลได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี (de minimis) สำหรับพัสดุจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน $800 ซึ่งหมายความว่าสินค้าที่เคยไม่เสียภาษีจะถูกเก็บทันทีส่งผลโดยตรงต่อแบรนด์อย่าง Shein ที่พึ่งพาการจัดส่งต้นทุนต่ำในปริมาณมาก
แฟชั่นหรูและ Fast Fashion โต้กลับด้วยการขึ้นราคา
เมื่อแรงกดดันจากภาษีเพิ่มขึ้น แบรนด์แฟชั่นหลายรายเลือกใช้ “พลังการตั้งราคา” เพื่อปกป้องกำไร จากผลสำรวจของ Joor พบว่า 85% ของแบรนด์แฟชั่นวางแผนปรับขึ้นราคาขายปลีก
- LVMH ซึ่งเป็นกลุ่มแฟชั่นหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยืนยันในการประชุมผลประกอบการว่า จะปรับราคาในตลาดสหรัฐฯ พร้อมลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและปรับงบการตลาดเพื่อรักษาอัตรากำไร
- Hermès ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เน้นกลยุทธ์ระดับพรีเมียมที่สุดได้ขึ้นราคาขายปลีกในสหรัฐฯอีก 4–5% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม (นอกเหนือจากการปรับขึ้นประจำปี 6–7%) เพื่อชดเชยภาษีนำเข้าอย่างชัดเจน
- Shein ซึ่งทำงานบนโมเดลกำไรบางเฉียบ ปรับราคาขึ้น 10% ระหว่างวันที่ 24–26 เมษายน โดยอ้างว่าเป็นผลจากกำแพงภาษีโลกที่เพิ่มขึ้นขณะที่ราคาสินค้าในสหราชอาณาจักรกลับไม่เปลี่ยนแปลง ตอกย้ำว่า Shein ยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างสูง

แม้แต่แบรนด์รองเท้าก็ไม่รอดพ้นสมาคมผู้จัดจำหน่ายรองเท้าแห่งสหรัฐ (FDRA) ซึ่งมี Nike, Adidas และ Skechers เข้าร่วมออกจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาวในวันที่ 29 เมษายน เรียกร้องให้ยกเลิกแผนการเก็บภาษีเพิ่มเติมโดยเตือนว่าอัตราภาษีรองเท้าเด็กที่มีอยู่แล้ว (20–37%) อาจพุ่งถึง 150–220% ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาการขาดสต็อกและล้มละลายเป็นวงกว้าง
ในวันที่ 5 พฤษภาคม Skechers สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากนักลงทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการรับมือกับสงครามภาษี
3 ปัจจัยหลักที่กำลังเปลี่ยนอนาคตของวงการแฟชั่น
- ความต้องการของผู้บริโภคลดลง
ผู้บริโภคที่ไวต่อราคากำลังชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะในหมวดสินค้าหรูที่ไม่จำเป็น เมื่อภาษีนำเข้าทำให้ราคาปลายทางเพิ่มสูงขึ้น ทั้งผู้บริโภคกลุ่มที่ซื้อเพื่อความฝันและกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงต่างเริ่มทบทวนพฤติกรรมการใช้เงิน

- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 65.2 ในเดือนมีนาคม 2025 ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี สะท้อนถึงความลังเลที่เพิ่มขึ้นในการจับจ่ายสิ่งของฟุ่มเฟือย
- แบรนด์ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก ซึ่งเป็นตลาดแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ตัวเลขจาก LVMH ไตรมาส 1 ปี 2025 ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่:
- รายได้รวมลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือ €20.3 พันล้าน ขณะที่เดิมคาดว่าจะเติบโต 2%
- กลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนัง ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของบริษัท ลดลง 5%
- รายได้ในสหรัฐฯ ลดลง 3% เอเชียแปซิฟิกลดลง 11% และญี่ปุ่นลดลง 1%
ผลกระทบนี้ทำให้หุ้น LVMH ร่วงลง 8% และส่งผลให้ Hermès แซงขึ้นครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในดัชนี CAC40 เป็นการชั่วคราว
- ซัพพลายเชนทั่วโลกถูกกดดัน
แม้แบรนด์หรูจะโปรโมตงานฝีมือแบบยุโรป แต่เบื้องหลังคือห่วงโซ่อุปทานระดับโลก วัตถุดิบและชิ้นส่วนจำนวนมากมาจากเอเชีย ถูกประกอบในยุโรป และส่งออกไปยังอเมริกาเหนือ
ภาษีนำเข้าทำให้สมดุลอันละเอียดอ่อนนี้เสียหาย แบรนด์อย่าง LVMH พยายามเพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้มาพร้อมกับอุปสรรค รายงานจากโรงงานของ LVMH ในเท็กซัสเผยว่าอัตราสูญเสียวัตถุดิบสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึงสองเท่า จนทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนของการย้ายฐานผลิต
ตราบใดยุโรปยังเป็นศูนย์กลางของการผลิต การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะยังคงกัดกร่อนอัตรากำไรของแบรนด์ต่อไป
- ความผันผวนของค่าเงินซ้ำเติมความเสี่ยง
อุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลกไวต่อความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอย่างมาก ภายใต้นโยบายการค้ารุกหนักของทรัมป์ ค่าเงินดอลลาร์เริ่มมีสัญญาณอ่อนค่า เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับแบรนด์ระดับสากล
แม้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนอาจส่งผลดีต่อรายได้ในรูปยูโรของบริษัทอย่าง LVMH และ Hermès แต่กลับเป็นอุปสรรคต่อแบรนด์ที่ตั้งราคาตามดอลลาร์สหรัฐ เช่น Shein ที่อิงกับกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกัน
แม้แต่ Warren Buffett ยังออกมาแสดงความกังวลว่า “เราไม่ควรถือสกุลเงินที่เราเชื่อว่าจะอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าทิศทางการจัดสรรเงินทุนทั่วโลกอาจเปลี่ยนแปลง
มุมมองปี 2025: อนาคตของแฟชั่นหรูที่ปั่นป่วน กระจัดกระจาย และแข่งขันรุนแรง
เส้นทางของวงการแฟชั่นหรูในปีนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป Bernstein ปรับลดคาดการณ์ปี 2025 จากที่เคยคาดว่าจะเติบโต 5% เหลือหดตัวลง 2% แม้แบรนด์ยักษ์ใหญ่เช่น LVMH และ Kering จะพยายามใช้กลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อรักษากำไร แต่แม้กระทั่งผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น
เทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโฉมวงการ ได้แก่:
- สินค้าทางเลือกที่เน้นความคุ้มค่าเริ่มแย่งส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์หรูแบบดั้งเดิม
- ผู้บริโภคเริ่มรู้สึกเบื่อแบรนด์ เพราะนวัตกรรมชะงัก และรอบการเปิดตัวสินค้ากลายเป็นสิ่งที่คาดเดาได้
- การขึ้นราคาบ่อยครั้งเริ่มท้าทายความภักดีของลูกค้า และทำให้สายใยทางอารมณ์ที่แบรนด์เคยมีอ่อนแรงลง
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในวงการแฟชั่นหรู ซึ่งแบรนด์ดั้งเดิมจะต้องปรับตัวด้วยความคล่องแคล่ว มิฉะนั้นอาจถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
รับมือพายุการค้าไปกับ Doo Prime
ในช่วงที่วงการแฟชั่นต้องรับมือกับความผันผวนจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจมหภาค นักลงทุนจำเป็นต้องมีแนวทางป้องกันความเสี่ยงและกระจายการลงทุนที่ฉลาดขึ้น
Doo Prime มีผลิตภัณฑ์ CFD ให้เลือกมากกว่า 10,000 รายการจากตลาดทั่วโลก รวมถึง:
- คู่สกุลเงินมากกว่า 60 คู่ (เช่น EUR/USD, USD/JPY ฯลฯ)
- หุ้น ทองคำ เงิน น้ำมัน และฟิวเจอร์ส
- เลเวอเรจสูงสุด 1:1000 เพื่อให้บริหารเงินทุนได้อย่างยืดหยุ่น
ก้าวนำเทรนด์ตลาดโลก และปกป้องพอร์ตของคุณด้วยเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสภาวะผันผวน
การเปิดเผยความเสี่ยง
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว