ภาษีนำเข้าถล่มเสน่ห์แห่ง Met Gala: แฟชั่นหรูจะอยู่รอดหรือไม่? 

2025-05-12 | Met Gala กับนโยบายทรัมป์ , Trump ภาษีแฟชั่น , ภาษีนำเข้าแบรนด์หรู

งาน Met Gala 2025 ยังคงสร้างความตื่นตาในแบบเฉพาะตัวจากแฟชั่นโอต์กูตูร์สุดอลังการ เหล่าคนดังที่เจิดจรัสและกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดียแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Chanel และ Valentino ครองพื้นที่สื่อด้วยดีไซน์อันน่าทึ่งและเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก 

แต่เบื้องหลังแสงแฟลชและพรมแดงอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเผชิญวิกฤตรอบใหม่: คลื่นพายุที่รวมเอาภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต้นทุนที่สูงขึ้นและความผันผวนของการค้าโลกเข้าไว้ด้วยกัน 

ใจกลางของความปั่นป่วนนี้คือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาอีกครั้ง และกำลังบีบทั้งยักษ์ใหญ่อย่าง LVMH และ Hermès ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นราคาย่อมเยาอย่าง Shein 

แม้ว่าแฟชั่นระดับโอต์กูตูร์จะยังคงเปล่งประกาย แต่โครงสร้างทางการเงินของอุตสาหกรรมแฟชั่นกลับเริ่มร้าวลึกหรือว่าภาษีนำเข้ากำลังเปลี่ยนรันเวย์ให้กลายเป็นสัญญาณอันตราย? 

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่กลับมาอีกครั้งกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระบบแฟชั่นโลก แม้ว่าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้จากสหภาพยุโรปออกไป 90 วันแต่สหรัฐฯก็ได้ประกาศเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปแล้วโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศสและอิตาลีแหล่งหลักของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Valentino 

และนี่คือสิ่งที่อาจตามมา: 

  • ภาษี 20% สำหรับเสื้อผ้าและสินค้าหนังจากยุโรป 
  • ภาษี 31% สำหรับนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ 

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เริ่มรุกคุมเข้ม fast fashion โดยในวันที่ 2 พฤษภาคม รัฐบาลได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี (de minimis) สำหรับพัสดุจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน $800 ซึ่งหมายความว่าสินค้าที่เคยไม่เสียภาษีจะถูกเก็บทันทีส่งผลโดยตรงต่อแบรนด์อย่าง Shein ที่พึ่งพาการจัดส่งต้นทุนต่ำในปริมาณมาก 

เมื่อแรงกดดันจากภาษีเพิ่มขึ้น แบรนด์แฟชั่นหลายรายเลือกใช้ “พลังการตั้งราคา” เพื่อปกป้องกำไร จากผลสำรวจของ Joor พบว่า 85% ของแบรนด์แฟชั่นวางแผนปรับขึ้นราคาขายปลีก 

  • LVMH ซึ่งเป็นกลุ่มแฟชั่นหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยืนยันในการประชุมผลประกอบการว่า จะปรับราคาในตลาดสหรัฐฯ พร้อมลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและปรับงบการตลาดเพื่อรักษาอัตรากำไร 
  • Hermès ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เน้นกลยุทธ์ระดับพรีเมียมที่สุดได้ขึ้นราคาขายปลีกในสหรัฐฯอีก 4–5% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม (นอกเหนือจากการปรับขึ้นประจำปี 6–7%) เพื่อชดเชยภาษีนำเข้าอย่างชัดเจน 
  • Shein ซึ่งทำงานบนโมเดลกำไรบางเฉียบ ปรับราคาขึ้น 10% ระหว่างวันที่ 24–26 เมษายน โดยอ้างว่าเป็นผลจากกำแพงภาษีโลกที่เพิ่มขึ้นขณะที่ราคาสินค้าในสหราชอาณาจักรกลับไม่เปลี่ยนแปลง ตอกย้ำว่า Shein ยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างสูง 

แม้แต่แบรนด์รองเท้าก็ไม่รอดพ้นสมาคมผู้จัดจำหน่ายรองเท้าแห่งสหรัฐ (FDRA) ซึ่งมี Nike, Adidas และ Skechers เข้าร่วมออกจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาวในวันที่ 29 เมษายน เรียกร้องให้ยกเลิกแผนการเก็บภาษีเพิ่มเติมโดยเตือนว่าอัตราภาษีรองเท้าเด็กที่มีอยู่แล้ว (20–37%) อาจพุ่งถึง 150–220% ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาการขาดสต็อกและล้มละลายเป็นวงกว้าง 

ในวันที่ 5 พฤษภาคม Skechers สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากนักลงทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการรับมือกับสงครามภาษี 

  1. ความต้องการของผู้บริโภคลดลง 

ผู้บริโภคที่ไวต่อราคากำลังชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะในหมวดสินค้าหรูที่ไม่จำเป็น เมื่อภาษีนำเข้าทำให้ราคาปลายทางเพิ่มสูงขึ้น ทั้งผู้บริโภคกลุ่มที่ซื้อเพื่อความฝันและกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงต่างเริ่มทบทวนพฤติกรรมการใช้เงิน 

  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 65.2 ในเดือนมีนาคม 2025 ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี สะท้อนถึงความลังเลที่เพิ่มขึ้นในการจับจ่ายสิ่งของฟุ่มเฟือย 
  • แบรนด์ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก ซึ่งเป็นตลาดแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ตัวเลขจาก LVMH ไตรมาส 1 ปี 2025 ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่: 
    • รายได้รวมลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือ €20.3 พันล้าน ขณะที่เดิมคาดว่าจะเติบโต 2% 
    • กลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนัง ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของบริษัท ลดลง 5% 
    • รายได้ในสหรัฐฯ ลดลง 3% เอเชียแปซิฟิกลดลง 11% และญี่ปุ่นลดลง 1% 

ผลกระทบนี้ทำให้หุ้น LVMH ร่วงลง 8% และส่งผลให้ Hermès แซงขึ้นครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในดัชนี CAC40 เป็นการชั่วคราว 

  1. ซัพพลายเชนทั่วโลกถูกกดดัน 

แม้แบรนด์หรูจะโปรโมตงานฝีมือแบบยุโรป แต่เบื้องหลังคือห่วงโซ่อุปทานระดับโลก วัตถุดิบและชิ้นส่วนจำนวนมากมาจากเอเชีย ถูกประกอบในยุโรป และส่งออกไปยังอเมริกาเหนือ 

ภาษีนำเข้าทำให้สมดุลอันละเอียดอ่อนนี้เสียหาย แบรนด์อย่าง LVMH พยายามเพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้มาพร้อมกับอุปสรรค รายงานจากโรงงานของ LVMH ในเท็กซัสเผยว่าอัตราสูญเสียวัตถุดิบสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึงสองเท่า จนทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนของการย้ายฐานผลิต 

ตราบใดยุโรปยังเป็นศูนย์กลางของการผลิต การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะยังคงกัดกร่อนอัตรากำไรของแบรนด์ต่อไป 

  1. ความผันผวนของค่าเงินซ้ำเติมความเสี่ยง 

อุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลกไวต่อความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอย่างมาก ภายใต้นโยบายการค้ารุกหนักของทรัมป์ ค่าเงินดอลลาร์เริ่มมีสัญญาณอ่อนค่า เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับแบรนด์ระดับสากล 

แม้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนอาจส่งผลดีต่อรายได้ในรูปยูโรของบริษัทอย่าง LVMH และ Hermès แต่กลับเป็นอุปสรรคต่อแบรนด์ที่ตั้งราคาตามดอลลาร์สหรัฐ เช่น Shein ที่อิงกับกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกัน 

แม้แต่ Warren Buffett ยังออกมาแสดงความกังวลว่า “เราไม่ควรถือสกุลเงินที่เราเชื่อว่าจะอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าทิศทางการจัดสรรเงินทุนทั่วโลกอาจเปลี่ยนแปลง 

เส้นทางของวงการแฟชั่นหรูในปีนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป Bernstein ปรับลดคาดการณ์ปี 2025 จากที่เคยคาดว่าจะเติบโต 5% เหลือหดตัวลง 2% แม้แบรนด์ยักษ์ใหญ่เช่น LVMH และ Kering จะพยายามใช้กลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อรักษากำไร แต่แม้กระทั่งผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น 

เทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโฉมวงการ ได้แก่: 

  • สินค้าทางเลือกที่เน้นความคุ้มค่าเริ่มแย่งส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์หรูแบบดั้งเดิม 
  • ผู้บริโภคเริ่มรู้สึกเบื่อแบรนด์ เพราะนวัตกรรมชะงัก และรอบการเปิดตัวสินค้ากลายเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ 
  • การขึ้นราคาบ่อยครั้งเริ่มท้าทายความภักดีของลูกค้า และทำให้สายใยทางอารมณ์ที่แบรนด์เคยมีอ่อนแรงลง 

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในวงการแฟชั่นหรู ซึ่งแบรนด์ดั้งเดิมจะต้องปรับตัวด้วยความคล่องแคล่ว มิฉะนั้นอาจถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 

ในช่วงที่วงการแฟชั่นต้องรับมือกับความผันผวนจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจมหภาค นักลงทุนจำเป็นต้องมีแนวทางป้องกันความเสี่ยงและกระจายการลงทุนที่ฉลาดขึ้น 

Doo Prime มีผลิตภัณฑ์ CFD ให้เลือกมากกว่า 10,000 รายการจากตลาดทั่วโลก รวมถึง: 

  • คู่สกุลเงินมากกว่า 60 คู่ (เช่น EUR/USD, USD/JPY ฯลฯ) 
  • หุ้น ทองคำ เงิน น้ำมัน และฟิวเจอร์ส 
  • เลเวอเรจสูงสุด 1:1000 เพื่อให้บริหารเงินทุนได้อย่างยืดหยุ่น 

ก้าวนำเทรนด์ตลาดโลก และปกป้องพอร์ตของคุณด้วยเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสภาวะผันผวน 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-06-27 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

การเจรจาสันติภาพจะพาดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่? 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทั่วโลกต่างเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย น้ำมันพุ่งแรง ทองคำทะยาน พาดหัวข่าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดว่าอาจเกิดสงคราม แต่ในแบบฉบับของตลาดการเงิน ทุกอย่างกลับพลิกอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทรัมป์กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล (ซึ่งเราคาดการณ์ไว้ในบทความสัปดาห์ก่อน) บรรยากาศในตลาดเริ่มเปลี่ยน ความกังวลต่อความเสี่ยงสงครามเริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันเริ่มย่อตัว สินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มเย็นลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาฟื้นตัว  คำถามสำคัญในตอนนี้คือ: การเจรจาสันติภาพครั้งนี้ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งหรือไม่?  มาหาคำตอบกัน  จากความกลัวสงครามสู่ความหวังลดดอกเบี้ย  ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน พาดหัวข่าวสงครามคือความไม่แน่นอนขั้นสุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงแกว่งตัวในกรอบแคบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เมื่อการเจรจาสันติภาพเริ่มมีแรงส่ง เส้นทางใหม่ก็กำลังเปิดขึ้น  ตอนนี้จุดโฟกัสไม่ใช่คำถามว่า “สงครามจะปะทุหรือไม่?” อีกต่อไป แต่มันกำลังเปลี่ยนเป็น “เฟดจะลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่?”  นั่นคือกุญแจสำคัญ เพราะยิ่งเฟดลดดอกเบี้ยเร็วเท่าไหร่ ตลาดหุ้นก็ยิ่งมีโอกาสไปได้แรงเท่านั้น  ทำไมข้อตกลงสันติภาพอาจเป็นตัวจุดชนวนที่สมบูรณ์แบบให้หุ้นพุ่ง  ข้อตกลงหยุดยิงที่น่าเชื่อถือสามารถดึงแรงกดดันมหาศาลออกจากระบบได้:  พูดง่ายๆ คือ ข้อตกลงสันติภาพอาจปูทางให้เกิดการรีบาวด์ในตลาดหุ้นวงกว้าง S&P 500 กำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบล่าสุด ขณะที่ Nasdaq ยังคงแข็งแกร่ง เมื่อความเสี่ยงจากสงครามลดลง บรรดานักลงทุนฝั่งกระทิงอาจเข้าควบคุมเกมได้  ทรัมป์ vs พาวเวลล์: ตัวเร่งตลาดคนถัดไป?  ทรัมป์ไม่เคยปิดบังว่าเขาต้องการดอกเบี้ยต่ำ เขาเคยโจมตีพาวเวลล์ในที่สาธารณะว่าเดินเกมช้าเกินไป  ในอีกด้าน พาวเวลล์กำลังเดินบนเส้นด้าย การสิ้นสุดสงครามทำให้เขาขยับไปสู่การลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ของทรัมป์และแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังค้างอยู่ […]

article-thumbnail

2025-06-20 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สงครามอิหร่าน-อิสราเอล: ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $100 และทองจะทะยานแตะ $4,000 หรือไม่? 

ตะวันออกกลางกลับมาเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดในตลาดโลกอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่แค่การซ้อมรบ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ปะทุเป็นสงครามเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเป็นแหล่งน้ำมัน โรงกลั่น และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ  ผลกระทบคืออะไร? ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $100 และราคาทองคำทะยานสู่ระดับใหม่ใกล้ $4,000  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป้าหมายราคาซื้อขาย เพราะผลกระทบแผ่กระจายไปถึงค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ คาดการณ์ดอกเบี้ย และพฤติกรรมนักลงทุน  และนี่คือภาพรวมของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมสิ่งที่นักเทรดและนักลงทุนควรจับตามองต่อไป  สงครามเต็มรูปแบบระหว่างอิหร่าน–อิสราเอล   สิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างคือขนาดและความตรงไปตรงมา ทั้งสองชาติพุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของกันและกันโดยตรง ตั้งแต่โรงกลั่นของอิหร่านไปจนถึงคลังเก็บน้ำมันของอิสราเอล  เรากำลังหลุดจากโลกของสงครามตัวแทนหรือการก่อวินาศกรรมลับ นี่คือสงครามเปิดที่มีห่วงโซ่อุปทานโลกตกเป็นเป้าหมาย  และนั่นพาเรามาถึงจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบฮอร์มุซ  ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านเส้นทางเดินเรือสำคัญนี้ การหยุดชะงักใดๆ อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสามหลักได้ภายในข้ามคืน และในอดีต แค่มีการขู่ปิดช่องแคบก็เพียงพอจะจุดชนวนให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดแล้ว  หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องทาง หรือการขนส่งกลายเป็นความเสี่ยงเกินไป ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ระดับ $110–120 จะไม่ใช่การคาดการณ์ที่เกินจริงอีกต่อไป แต่นี่คือ “กรณีฐาน” ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง  น้ำมันจะพุ่งทะลุ $100 หรือไม่?  ราคาน้ำมันเริ่มตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI และ Brent ต่างพุ่งขึ้นจากการคาดการณ์ว่าการหยุดชะงักของอุปทานอาจทำให้ตลาดที่เปราะบางอยู่แล้วตึงตัวขึ้นไปอีก บวกกับการเก็งกำไรและต้นทุนประกันเรือบรรทุกที่เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นภาพชัดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มจะแหวกแนวต้านสำคัญได้อย่างรวดเร็ว  ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันกำลังทดสอบเส้นแนวโน้มขาลงหลักที่ทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาตั้งแต่ปี 2566 […]

article-thumbnail

2025-06-13 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

โลหะเงินแตะจุดสูงสุดรอบ 13 ปี: เป้าหมายต่อไป $50? 

ราคาทองคำขยับก่อน แต่ซิลเวอร์ขยับเร็ว  ในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว ราคาซิลเวอร์พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 11.1% และตอนนี้กำลังซื้อขายที่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี จนกลายเป็นที่จับตามองของตลาด ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักเทรดสายเก็งกำไร ทุกคนต่างจับตาดูระดับราคาที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ช่วงพีคของปี 2554  สิ่งที่นักเทรดอยากรู้คือ: นี่คือจุดเริ่มต้นของการเบรกทะลุครั้งประวัติศาสตร์ใช่ไหม? หรือแค่เป็นอีกหนึ่งรอบที่ราคาจะ ไปไม่สุดแล้วอ่อนตัวลง ที่แนวต้านอีกครั้ง?  ทำไมการพุ่งขึ้นของซิลเวอร์รอบนี้ถึงสำคัญ  ท่ามกลางกระแสข่าวครึกโครมของ AI และคริปโต ความแข็งแกร่งของซิลเวอร์กำลังบอกสัญญาณบางอย่างที่ลึกกว่านั้น  ในอดีต ซิลเวอร์เคยเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เก็บมูลค่า เช่นเดียวกับทองคำ เป็นโลหะที่มีการใช้ในอุตสาหกรรม และยังเป็น เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อซิลเวอร์เคลื่อนไหว มันไม่ได้ขยับเบา ๆ  หากย้อนไปปี 2554 ราคาซิลเวอร์พุ่งจาก $35 ไปเกือบ $50 ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ หรือคิดเป็นการขยับขึ้นกว่า 40% ในไม่ถึงสองเดือน เป็นรอบที่พุ่งแรงและรวดเร็วจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัว และความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัย  วันนี้เรากำลังเห็นรูปแบบที่คล้ายกันอีกครั้ง  และซิลเวอร์ก็กำลังตอบรับต่อสัญญาณนั้น  กราฟ 50 ปีที่เล่าเรื่องได้ในตัวเอง  กราฟด้านบนกำลังส่งสัญญาณเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ โดยแสดงให้เห็นว่าราคาซิลเวอร์กำลังสร้างรูปแบบ “ถ้วยพร้อมหูจับ” ซึ่งมักเป็นสัญญาณขาขึ้นก่อนการเบรกทะลุครั้งใหญ่  […]