ภาษีนำเข้าถล่มเสน่ห์แห่ง Met Gala: แฟชั่นหรูจะอยู่รอดหรือไม่? 

2025-05-12 | Met Gala กับนโยบายทรัมป์ , Trump ภาษีแฟชั่น , ภาษีนำเข้าแบรนด์หรู

งาน Met Gala 2025 ยังคงสร้างความตื่นตาในแบบเฉพาะตัวจากแฟชั่นโอต์กูตูร์สุดอลังการ เหล่าคนดังที่เจิดจรัสและกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดียแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Chanel และ Valentino ครองพื้นที่สื่อด้วยดีไซน์อันน่าทึ่งและเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก 

แต่เบื้องหลังแสงแฟลชและพรมแดงอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเผชิญวิกฤตรอบใหม่: คลื่นพายุที่รวมเอาภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต้นทุนที่สูงขึ้นและความผันผวนของการค้าโลกเข้าไว้ด้วยกัน 

ใจกลางของความปั่นป่วนนี้คือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาอีกครั้ง และกำลังบีบทั้งยักษ์ใหญ่อย่าง LVMH และ Hermès ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นราคาย่อมเยาอย่าง Shein 

แม้ว่าแฟชั่นระดับโอต์กูตูร์จะยังคงเปล่งประกาย แต่โครงสร้างทางการเงินของอุตสาหกรรมแฟชั่นกลับเริ่มร้าวลึกหรือว่าภาษีนำเข้ากำลังเปลี่ยนรันเวย์ให้กลายเป็นสัญญาณอันตราย? 

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่กลับมาอีกครั้งกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระบบแฟชั่นโลก แม้ว่าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้จากสหภาพยุโรปออกไป 90 วันแต่สหรัฐฯก็ได้ประกาศเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปแล้วโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศสและอิตาลีแหล่งหลักของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Valentino 

และนี่คือสิ่งที่อาจตามมา: 

  • ภาษี 20% สำหรับเสื้อผ้าและสินค้าหนังจากยุโรป 
  • ภาษี 31% สำหรับนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ 

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เริ่มรุกคุมเข้ม fast fashion โดยในวันที่ 2 พฤษภาคม รัฐบาลได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี (de minimis) สำหรับพัสดุจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน $800 ซึ่งหมายความว่าสินค้าที่เคยไม่เสียภาษีจะถูกเก็บทันทีส่งผลโดยตรงต่อแบรนด์อย่าง Shein ที่พึ่งพาการจัดส่งต้นทุนต่ำในปริมาณมาก 

เมื่อแรงกดดันจากภาษีเพิ่มขึ้น แบรนด์แฟชั่นหลายรายเลือกใช้ “พลังการตั้งราคา” เพื่อปกป้องกำไร จากผลสำรวจของ Joor พบว่า 85% ของแบรนด์แฟชั่นวางแผนปรับขึ้นราคาขายปลีก 

  • LVMH ซึ่งเป็นกลุ่มแฟชั่นหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยืนยันในการประชุมผลประกอบการว่า จะปรับราคาในตลาดสหรัฐฯ พร้อมลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางและปรับงบการตลาดเพื่อรักษาอัตรากำไร 
  • Hermès ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เน้นกลยุทธ์ระดับพรีเมียมที่สุดได้ขึ้นราคาขายปลีกในสหรัฐฯอีก 4–5% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม (นอกเหนือจากการปรับขึ้นประจำปี 6–7%) เพื่อชดเชยภาษีนำเข้าอย่างชัดเจน 
  • Shein ซึ่งทำงานบนโมเดลกำไรบางเฉียบ ปรับราคาขึ้น 10% ระหว่างวันที่ 24–26 เมษายน โดยอ้างว่าเป็นผลจากกำแพงภาษีโลกที่เพิ่มขึ้นขณะที่ราคาสินค้าในสหราชอาณาจักรกลับไม่เปลี่ยนแปลง ตอกย้ำว่า Shein ยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างสูง 

แม้แต่แบรนด์รองเท้าก็ไม่รอดพ้นสมาคมผู้จัดจำหน่ายรองเท้าแห่งสหรัฐ (FDRA) ซึ่งมี Nike, Adidas และ Skechers เข้าร่วมออกจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาวในวันที่ 29 เมษายน เรียกร้องให้ยกเลิกแผนการเก็บภาษีเพิ่มเติมโดยเตือนว่าอัตราภาษีรองเท้าเด็กที่มีอยู่แล้ว (20–37%) อาจพุ่งถึง 150–220% ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาการขาดสต็อกและล้มละลายเป็นวงกว้าง 

ในวันที่ 5 พฤษภาคม Skechers สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศถอนตัวจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากนักลงทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการรับมือกับสงครามภาษี 

  1. ความต้องการของผู้บริโภคลดลง 

ผู้บริโภคที่ไวต่อราคากำลังชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะในหมวดสินค้าหรูที่ไม่จำเป็น เมื่อภาษีนำเข้าทำให้ราคาปลายทางเพิ่มสูงขึ้น ทั้งผู้บริโภคกลุ่มที่ซื้อเพื่อความฝันและกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงต่างเริ่มทบทวนพฤติกรรมการใช้เงิน 

  • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 65.2 ในเดือนมีนาคม 2025 ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี สะท้อนถึงความลังเลที่เพิ่มขึ้นในการจับจ่ายสิ่งของฟุ่มเฟือย 
  • แบรนด์ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก ซึ่งเป็นตลาดแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ตัวเลขจาก LVMH ไตรมาส 1 ปี 2025 ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่: 
    • รายได้รวมลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือ €20.3 พันล้าน ขณะที่เดิมคาดว่าจะเติบโต 2% 
    • กลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนัง ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของบริษัท ลดลง 5% 
    • รายได้ในสหรัฐฯ ลดลง 3% เอเชียแปซิฟิกลดลง 11% และญี่ปุ่นลดลง 1% 

ผลกระทบนี้ทำให้หุ้น LVMH ร่วงลง 8% และส่งผลให้ Hermès แซงขึ้นครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในดัชนี CAC40 เป็นการชั่วคราว 

  1. ซัพพลายเชนทั่วโลกถูกกดดัน 

แม้แบรนด์หรูจะโปรโมตงานฝีมือแบบยุโรป แต่เบื้องหลังคือห่วงโซ่อุปทานระดับโลก วัตถุดิบและชิ้นส่วนจำนวนมากมาจากเอเชีย ถูกประกอบในยุโรป และส่งออกไปยังอเมริกาเหนือ 

ภาษีนำเข้าทำให้สมดุลอันละเอียดอ่อนนี้เสียหาย แบรนด์อย่าง LVMH พยายามเพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้มาพร้อมกับอุปสรรค รายงานจากโรงงานของ LVMH ในเท็กซัสเผยว่าอัตราสูญเสียวัตถุดิบสูงถึง 40% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึงสองเท่า จนทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนของการย้ายฐานผลิต 

ตราบใดยุโรปยังเป็นศูนย์กลางของการผลิต การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะยังคงกัดกร่อนอัตรากำไรของแบรนด์ต่อไป 

  1. ความผันผวนของค่าเงินซ้ำเติมความเสี่ยง 

อุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลกไวต่อความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอย่างมาก ภายใต้นโยบายการค้ารุกหนักของทรัมป์ ค่าเงินดอลลาร์เริ่มมีสัญญาณอ่อนค่า เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับแบรนด์ระดับสากล 

แม้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนอาจส่งผลดีต่อรายได้ในรูปยูโรของบริษัทอย่าง LVMH และ Hermès แต่กลับเป็นอุปสรรคต่อแบรนด์ที่ตั้งราคาตามดอลลาร์สหรัฐ เช่น Shein ที่อิงกับกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอเมริกัน 

แม้แต่ Warren Buffett ยังออกมาแสดงความกังวลว่า “เราไม่ควรถือสกุลเงินที่เราเชื่อว่าจะอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าทิศทางการจัดสรรเงินทุนทั่วโลกอาจเปลี่ยนแปลง 

เส้นทางของวงการแฟชั่นหรูในปีนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป Bernstein ปรับลดคาดการณ์ปี 2025 จากที่เคยคาดว่าจะเติบโต 5% เหลือหดตัวลง 2% แม้แบรนด์ยักษ์ใหญ่เช่น LVMH และ Kering จะพยายามใช้กลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อรักษากำไร แต่แม้กระทั่งผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น 

เทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโฉมวงการ ได้แก่: 

  • สินค้าทางเลือกที่เน้นความคุ้มค่าเริ่มแย่งส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์หรูแบบดั้งเดิม 
  • ผู้บริโภคเริ่มรู้สึกเบื่อแบรนด์ เพราะนวัตกรรมชะงัก และรอบการเปิดตัวสินค้ากลายเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ 
  • การขึ้นราคาบ่อยครั้งเริ่มท้าทายความภักดีของลูกค้า และทำให้สายใยทางอารมณ์ที่แบรนด์เคยมีอ่อนแรงลง 

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในวงการแฟชั่นหรู ซึ่งแบรนด์ดั้งเดิมจะต้องปรับตัวด้วยความคล่องแคล่ว มิฉะนั้นอาจถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 

ในช่วงที่วงการแฟชั่นต้องรับมือกับความผันผวนจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจมหภาค นักลงทุนจำเป็นต้องมีแนวทางป้องกันความเสี่ยงและกระจายการลงทุนที่ฉลาดขึ้น 

Doo Prime มีผลิตภัณฑ์ CFD ให้เลือกมากกว่า 10,000 รายการจากตลาดทั่วโลก รวมถึง: 

  • คู่สกุลเงินมากกว่า 60 คู่ (เช่น EUR/USD, USD/JPY ฯลฯ) 
  • หุ้น ทองคำ เงิน น้ำมัน และฟิวเจอร์ส 
  • เลเวอเรจสูงสุด 1:1000 เพื่อให้บริหารเงินทุนได้อย่างยืดหยุ่น 

ก้าวนำเทรนด์ตลาดโลก และปกป้องพอร์ตของคุณด้วยเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสภาวะผันผวน 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต Doo Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-05-15 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

กระทิงกลับมาแล้ว: ตลาดหุ้นพุ่งแรงจากดีลการค้าสหรัฐ-จีน 

บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพิ่งเกิดขึ้น และวอลล์สตรีทกำลังส่งเสียงเฮ  ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้น หลังจากสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าแบบไม่คาดคิด ข้อตกลงนี้ช่วยยกเลิกภาษีนำเข้า บรรเทาความตึงเครียด และผลักดันสินทรัพย์เสี่ยงให้ปรับตัวขึ้นแรง ดัชนี S&P 500 กระโดดเกือบ 4% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วน Nasdaq พุ่งยิ่งกว่า ตลาดในเอเชียพุ่งขึ้น และดัชนียุโรปก็ขยับตาม  นี่คือการดีดกลับที่ทำให้ฝั่งหมีต้องกลับมาทบทวนมุมมองทั้งหมดใหม่  แล้วอะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้? นี่คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวแบบ V-shape ที่หลายคนเฝ้ารอใช่หรือไม่? หรือเป็นแค่ความผันผวนชั่วคราวในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่นิ่ง?  ดีลการค้าสหรัฐ-จีน จุดประกายการฟื้นตัวรูปแบบ V-Shape  การฟื้นตัวแบบ V-shape ถือเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ของตลาดในช่วงขาลง เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และรุนแรง: ร่วง แล้วพุ่ง ลองนึกถึงช่วงโควิด-19 ในปี 2020 หรือผลกระทบจาก Brexit หรือแม้แต่ปี 1987 ที่ความกลัวพุ่งถึงจุดสูงสุด ก่อนที่ตลาดจะดีดกลับอย่างรุนแรง  แล้วคลื่นการฟื้นตัวรอบนี้ล่ะ? กำลังเริ่มสะท้อนรูปแบบเดิมที่คุ้นเคย  ในประวัติศาสตร์ ดัชนี S&P 500 เคยสร้างการฟื้นตัวรูปแบบ V-shape ได้อย่างน่าทึ่ง ในช่วงวิกฤตโควิดปี […]

article-thumbnail

2025-05-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ภาษีนำเข้าถล่มเสน่ห์แห่ง Met Gala: แฟชั่นหรูจะอยู่รอดหรือไม่? 

งาน Met Gala 2025 ยังคงสร้างความตื่นตาในแบบเฉพาะตัวจากแฟชั่นโอต์กูตูร์สุดอลังการ เหล่าคนดังที่เจิดจรัสและกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดียแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Chanel และ Valentino ครองพื้นที่สื่อด้วยดีไซน์อันน่าทึ่งและเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลก  แต่เบื้องหลังแสงแฟลชและพรมแดงอุตสาหกรรมแฟชั่นกำลังเผชิญวิกฤตรอบใหม่: คลื่นพายุที่รวมเอาภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นต้นทุนที่สูงขึ้นและความผันผวนของการค้าโลกเข้าไว้ด้วยกัน  ใจกลางของความปั่นป่วนนี้คือนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาอีกครั้ง และกำลังบีบทั้งยักษ์ใหญ่อย่าง LVMH และ Hermès ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นราคาย่อมเยาอย่าง Shein  แม้ว่าแฟชั่นระดับโอต์กูตูร์จะยังคงเปล่งประกาย แต่โครงสร้างทางการเงินของอุตสาหกรรมแฟชั่นกลับเริ่มร้าวลึกหรือว่าภาษีนำเข้ากำลังเปลี่ยนรันเวย์ให้กลายเป็นสัญญาณอันตราย?  นโยบายการค้าของทรัมป์: ภัยคุกคามต่อกำไรของวงการแฟชั่น  นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่กลับมาอีกครั้งกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วระบบแฟชั่นโลก แม้ว่าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้จากสหภาพยุโรปออกไป 90 วันแต่สหรัฐฯก็ได้ประกาศเก็บภาษีพื้นฐาน 10% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปแล้วโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศสและอิตาลีแหล่งหลักของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Valentino  และนี่คือสิ่งที่อาจตามมา:  ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็เริ่มรุกคุมเข้ม fast fashion โดยในวันที่ 2 พฤษภาคม รัฐบาลได้ยกเลิกข้อยกเว้นภาษี (de minimis) สำหรับพัสดุจากจีนที่มีมูลค่าไม่เกิน $800 ซึ่งหมายความว่าสินค้าที่เคยไม่เสียภาษีจะถูกเก็บทันทีส่งผลโดยตรงต่อแบรนด์อย่าง Shein ที่พึ่งพาการจัดส่งต้นทุนต่ำในปริมาณมาก  […]

article-thumbnail

2025-05-07 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

100 วันแรกของทรัมป์: ภาษีนำเข้ากระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ 

ผ่านมาเพียงเล็กน้อยกว่า 100 วันหลังทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว แต่ตลาดก็เริ่มรับแรงสั่นสะเทือนแล้ว  ตั้งแต่ภาษีนำเข้าชุดใหม่ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไปจนถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและคาดการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป มาตรการเริ่มต้นของรัฐบาลทรัมป์กำลังวางรากฐานให้กับเศรษฐกิจสหรัฐในเฟสถัดไป  ในบทความนี้ เราจะถอดรหัสสัญญาณจริงจากตลาด ไม่ใช่แค่พาดหัวข่าว ตั้งแต่ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ไปจนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการว่างงาน  และนี่คือสิ่งที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรจับตาต่อจากนี้  ผลกระทบของภาษีนำเข้าต่อเงินเฟ้อ  สัญญาณชัดเจนจาก 100 วันแรกของทรัมป์คืออะไร? ความคาดหวังเรื่องเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง  ลองดูกราฟนี้จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน:  หลังจากทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าเมื่อวันที่ 2 เมษายน ความคาดหวังเงินเฟ้อก็พุ่งขึ้นทันที แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 แม้จะมีการประกาศชะลอการขึ้นภาษีบางส่วนในวันที่ 9 เมษายน แต่ระดับความคาดหวังยังคงสูง แสดงให้เห็นว่าเมื่อความกังวลเงินเฟ้อเริ่มฝังรากแล้ว มันไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน  ประเด็นสำคัญ: แม้การขึ้นภาษีจะเริ่มชะลอลง แต่ความเสียหายต่อความเชื่อมั่นด้านเงินเฟ้อก็เกิดขึ้นแล้ว ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างก็เริ่มเตรียมรับมือกับราคาที่สูงขึ้น  ความเชื่อมั่นของผู้นำธุรกิจกำลังลดลง  ไม่ใช่แค่ผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัว ซีอีโอก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันเช่นกัน  ลองดูดัชนีความเชื่อมั่นของซีอีโอ (CEO Confidence Index) ซึ่งสะท้อนมุมมองของผู้นำธุรกิจต่อเศรษฐกิจในอีกหนึ่งปีข้างหน้า  สังเกตได้ว่าค่าดัชนีล่าสุดร่วงลงแรงจนใกล้ระดับ 5 ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในระดับต่ำสุดของทศวรรษ ประเด็นนี้สำคัญ เพราะซีอีโอเป็นผู้กำหนดทิศทางการจ้างงาน การลงทุน และการขยายธุรกิจ ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลดลง ก็มักจะเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  ทำไมนักเทรดควรใส่ใจประเด็นนี้? เพราะความเชื่อมั่นของซีอีโอที่ลดลง มักนำไปสู่การคาดการณ์ผลประกอบการที่ระมัดระวังมากขึ้น […]