นโยบายภาษีของทรัมป์และผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 

2025-02-07

นโยบายภาษีของทรัมป์และผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 

นโยบายภาษีของทรัมป์กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสูงกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น เม็กซิโก แคนาดา สหภาพยุโรป (EU) และจีน การกระทำนี้ทำให้เกิดการพูดถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ภาษีเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์หรืออาจทำให้มันอ่อนค่าลงหรือไม่ มาทำความเข้าใจผ่านบทความต่อไปนี้ 

ในช่วงการดำรงตำแหน่งครั้งแรก ทรัมป์ได้ตั้งภาษีสูงกับสินค้าจากจีน ซึ่งทำให้เกิดสงครามการค้าขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบ ขณะนี้เขาได้ใช้แนวทางที่รุนแรงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษี ไม่เพียงแต่กับจีน แต่ยังรวมถึงเม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรป (EU) ด้วย 

  • จีน: ทรัมป์ต้องการที่จะนำภาษี 10% กลับมาใช้กับสินค้าจากจีน หรืออาจขยายภาษีเพิ่มเติมเป็นมาตรการตอบโต้ต่อนโยบายเศรษฐกิจของปักกิ่ง ก่อนหน้านี้รัฐบาลของเขาได้กำหนดภาษี 25% กับสินค้าจีนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้จีนตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีที่คล้ายกัน 
  • เม็กซิโกและแคนาดา: ทรัมป์ได้วิจารณ์เกี่ยวกับความไม่สมดุลทางการค้ากับเม็กซิโกและแคนาดา โดยเขาได้ระบุถึงความเป็นไปได้ในการเจรจาข้อตกลง USMCA (ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ, เม็กซิโก และแคนาดา) ใหม่ หรือการตั้งภาษี 25% ใหม่เพื่อจำกัดการย้ายการผลิตข้ามพรมแดน 
  • สหภาพยุโรป: สหภาพยุโรปมักเป็นเป้าหมายของการคุกคามเรื่องภาษีจากทรัมป์ โดยเฉพาะในภาคยานยนต์และการเกษตร การยกระดับมาตรการอาจนำไปสู่การเรียกเก็บภาษีตอบโต้จากยุโรป 

ในอดีต ภาษีมีผลกระทบที่หลากหลายต่อดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้นเมื่อมีการกำหนดภาษี เนื่องจากภาษีจะช่วยลดการนำเข้า ซึ่งส่งผลดีต่อดุลการค้าในระยะสั้น นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนในตลาดจะผลักดันให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย รวมถึงดอลลาร์สหรัฐ แต่การทำสงครามการค้าที่ยืดเยื้ออาจส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะยาว นี่คือลักษณะของสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น: 

  • ดอลลาร์แข็งค่า: หากภาษีของทรัมป์ทำให้บริษัทต่างชาติผลิตสินค้ามากขึ้นในสหรัฐฯ หรือหากนักลงทุนมองว่านโยบายการค้านี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของอเมริกา ดอลลาร์สหรัฐอาจจะมีมูลค่าขึ้น 
  • ดอลลาร์อ่อนค่า: หากภาษีขยายตัวกลายเป็นสงครามการค้าระหว่างประเทศเศรษฐกิจใหญ่ๆ ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายในห่วงโซ่อุปทานและการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง 
ผลกระทบของทรัมป์ต่อ DXY
ผลกระทบของทรัมป์ต่อ DXY

ผลกระทบทางประวัติศาสตร์จากการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ต่อดอลลาร์สหรัฐช่วยให้เราได้เห็นภาพของสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต กราฟด้านบนแสดงถึงการเคลื่อนไหวของ DXY (ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากการเลือกตั้งของทรัมป์ในปี 2559 และ 2567 ในตอนแรก ดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้นในทั้งสองกรณี ซึ่งน่าจะเกิดจากความคาดหวังในตลาดและการคาดการณ์เกี่ยวกับนโยบายที่อาจเกิดขึ้น แต่ในปี 2559 ดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลงในหลายเดือนถัดมา เมื่อความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น หากประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำ ดอลลาร์อาจเผชิญกับแรงกดดันใหม่ แม้จะมีการเพิ่มขึ้นในช่วงแรกก็ตาม 

หนึ่งในข้อกังวลหลักเกี่ยวกับภาษีคือปัญหาเงินเฟ้อ นักวิจารณ์แย้งว่าภาษีทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น โดยทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม การดำรงตำแหน่งครั้งแรกของทรัมป์ได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อนี้ 

แม้จะมีสงครามการค้ายืดเยื้อกับจีนตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2563 แต่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยอยู่ราวๆ 2% ซึ่งขัดแย้งกับความกลัวที่ว่าภาษีจะนำไปสู่เงินเฟ้อสูงโดยอัตโนมัติ เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อมีความสำคัญในการอภิปรายทางเศรษฐกิจในตอนนี้ การกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีใหม่ถูกขยายความเกินไปหรือไม่ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ 

ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งเงินเฟ้อเป็นปัญหาหลังจากการระบาดของ COVID-19 ภาษีใหม่อาจส่งผลแตกต่างจากในอดีต อย่างไรก็ตาม ประวัติการดำเนินนโยบายของทรัมป์ก่อนหน้านี้บ่งชี้ว่าภาษีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ก่อให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว ปัจจัยอื่นๆ เช่น นโยบายการเงินและราคาพลังงานมีบทบาทที่สำคัญมากกว่า 

ยังมีแง่มุมทางยุทธศาสตร์ในคำขู่เรื่องภาษีของทรัมป์ด้วย หรือทั้งหมดนี้อาจเป็นกลยุทธ์ในการเจรจาแทนที่จะเป็นความผิดพลาดทางเศรษฐกิจ เพราะทรัมป์เชื่อในแนวคิด “สันติภาพด้วยพลังอำนาจ” โดยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจที่เด็ดขาดเพื่อกดดันประเทศอื่นๆ ให้ยอมรับตามข้อกำหนด 

ด้วยความไม่แน่นอน ทรัมป์อาจพยายามกดดันพันธมิตรทางการค้าให้ทำข้อตกลงที่ดีกับสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น แนวทางของเขากับจีนที่นำไปสู่ข้อตกลงการค้าช่วงเฟสแรกในต้นปี 2563 ซึ่งรวมถึงการที่จีนตกลงจะซื้อสินค้าจากอเมริกามากขึ้น 

หากทรัมป์ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน ภาษีอาจเป็นแค่เครื่องมือในการเจรจาแทนที่จะเป็นนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว ในกรณีนี้ ผลกระทบต่อตลาดอาจจะเพียงชั่วคราว โดยที่ดอลลาร์สหรัฐอาจจะผันผวน แต่จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่สำคัญ 

ดอลลาร์สหรัฐกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติที่สำคัญ

เมื่อนโยบายภาษีของทรัมป์เริ่มเป็นที่กล่าวถึง ดอลลาร์สหรัฐเตรียมพบกับความผันผวน แม้ว่าภาษีอาจช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ในช่วงแรกโดยการลดการขาดดุลการค้าและเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้ออาจลดความเชื่อมั่นในสกุลเงินนี้ได้ 

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่านโยบายภาษีของทรัมป์อาจเกี่ยวข้องกับการสร้างสมดุลทางอำนาจมากกว่าการปกป้องเศรษฐกิจจริงๆ  ไม่ว่าภาษีเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แค่ความกลัวในเรื่องภาษีก็อาจเพียงพอที่จะทำให้ตลาดขยับ และทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นสกุลเงินที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด 

สำหรับนักเทรดและนักลงทุนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด การสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย และการดูว่าตลาดโลกมีปฏิกิริยาอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ ไม่ว่าทรัมป์จะกลับมาประกาศภาษีหรือไม่ ดอลลาร์สหรัฐจะยังคงเป็นสกุลเงินที่สำคัญในเหตุการณ์นี้ 


การเปิดเผยความเสี่ยง 
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส CFD และผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงินพื้นฐาน เนื่องจากความเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดเดาไม่ได้ อาจเกิดการขาดทุนมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นของท่านในระยะเวลาอันสั้น    
โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายกับเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทอย่างถ่องแท้ก่อนทำธุรกรรมกับเรา หากท่านไม่เข้าใจความเสี่ยงดังที่ได้อธิบายไว้ในนี้ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ 

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ   
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้มีไว้เพื่ออ้างอิงทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้เป็นคำแนะนำการลงทุน ข้อเสนอแนะ คำเชิญ หรือการเสนอขายหรือซื้อเครื่องมือทางการเงินใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์การลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้รับข้อมูลแต่ละราย ผลการดำเนินงานในอดีตไม่สามารถเป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลการดำเนินงานในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่ให้การรับรองหรือรับประกันใดๆ เกี่ยวกับความถูกต้องหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการใช้ข้อมูลนี้หรือลงทุนตามข้อมูลดังกล่าว  
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงข้างต้นสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีไว้เพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ควรใช้หรือพิจารณาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจซื้อขายหรือคำเชิญชวนให้เข้าทำธุรกรรมใดๆ D Prime ไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของรายงานนี้และปฏิเสธความรับผิดใดๆ ต่อความเสียหายที่เป็นผลมาจากการใช้รายงานนี้ คุณไม่ควรพึ่งพารายงานนี้แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อทดแทนการตัดสินใจของคุณเอง ตลาดมีความเสี่ยงเสมอ และการลงทุนควรใช้ความระมัดระวัง 

วิเคราะห์ตลาดเชิงลึกIconBrandElement

article-thumbnail

2025-12-26 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

คาดการณ์ ปี 2026 ‘ทองคำและเงิน’ เป็นขาขึ้นหรือขาลง?  

ตอนนี้ทองคำและเงินยังคงเดินหน้าทำลายสถิติใหม่ไม่หยุด เรียกว่าพุ่งทะลุ All-Time High กันแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์เลยทีเดียว จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงการแรลลี่ที่แข็งแกร่งที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ จนดึงดูดสายตาทั้งนักลงทุนสายถือยาวและเดย์เทรดให้หันมามองกันหมด  คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ ในปี 2026 เทรนด์นี้จะยังไปต่อได้ไหม หรือราคาเริ่มวิ่งนำหน้าปัจจัยพื้นฐานไปไกลเกินแล้ว?   จนถึงตอนนี้ ปัจจัยต่างๆ ยังคงซัพพอร์ตราคาได้ดี ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง ความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลในค่าเงินฟีแอต ทั้งหมดนี้คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ดีมานด์พุ่งสูงขึ้น เมื่อมองไปถึงปี 2026 ตลาดจึงต้องมาเช็คกันว่าแรงส่งเหล่านี้จะยังทำงานอยู่หรือไม่  ทำไมทองคำและเงินถึงทำสถิติสูงสุดใหม่?  การที่โลหะมีค่าพุ่งแรงขนาดนี้ เกิดจากการประสานแรงของปัจจัยมหภาคหลายตัวพร้อมกัน:  พอปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ก็ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำและเงิน (ซึ่งไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย) ลดน้อยลง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าดึงดูดกว่าการเก็บเงินในระบบการเงินปกติ  ในปี 2026 Fed จะลดดอกเบี้ยหนักกว่าเดิมไหม?  คำถามยอดฮิตที่หลายคนเสิร์ชกันคือ “การลดดอกเบี้ยส่งผลยังไงกับทองและเงิน?”  ตอนนี้ตลาดโฟกัสไปที่นโยบายการเงินเฟสถัดไป ถ้าเงินเฟ้อยังคุมได้และตัวเลขจ้างงานชะลอตัวต่อเนื่อง โอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มก็มีสูง ซึ่งตามสถิติแล้ว ช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลงมักจะเป็น “สวรรค์” ของทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่ตลาดปรับความคาดหวังได้เร็วกว่าตัวนโยบายจริงเสียอีก  ตัวเลข CPI และการจ้างงาน สำคัญแค่ไหน?  สองตัวนี้คือหัวใจหลักของแนวโน้มราคาเลย:  หากเทรนด์นี้ยังอยู่ เราอาจได้เห็นราคาทองและเงินพุ่งรับข่าวล่วงหน้าไปก่อนที่นโยบายจะประกาศใช้จริงเสียอีก  สัญญาณจาก Gold-to-Silver Ratio บอกอะไรเรา?  ดัชนี Gold-to-Silver Ratio คือตัววัดว่าต้องใช้เงินกี่ออนซ์เพื่อซื้อทองคำหนึ่งออนซ์ ตามประวัติศาสตร์แล้ว ค่าเฉลี่ยของดัชนีนี้มักจะต่ำกว่าระดับปัจจุบันมาก ถ้าระดับนี้ยังสูงอยู่ แปลว่าเงิน ยังถูกมากเมื่อเทียบกับทอง ถ้าระดับนี้ต่ำ แปลว่าเงินเริ่มแพงแล้ว   ปัจจุบันดัชนีนี้ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าที่ผ่านมา “เงิน” วิ่งตาม “ทอง” ไม่ทัน แม้จะไม่ได้ยืนยันว่าราคาต้องพุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของมูลค่าที่น่าจับตามอง หากตลาดทองยังพีคอยู่แบบนี้ ส่วนต่างตรงนี้อาจจะแคบลงได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะมหภาคและพฤติกรรมของนักลงทุนด้วย  เป้าหมายราคาปี 2026: จะไปได้ไกลแค่ไหน?  แทนที่จะฟันธงเป๊ะๆ ตลาดมักจะมองเป็นสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า แน่นอนว่าไม่ใช่การการันตี แต่มันคือภาพสะท้อนว่าตลาดเคยทำอะไรแบบนี้มาแล้วในช่วงที่วัฏจักรเศรษฐกิจเอื้ออำนวย  ระวังจุดเปลี่ยนช่วงครึ่งหลังของปี 2026  แม้ช่วงต้นปีจะดูสดใส แต่ต้องระวังตัวแปรที่อาจเปลี่ยนเกมได้ เช่น:  ต้องไม่ลืมว่าโลหะมีค่าวิ่งตาม “ความคาดหวัง” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วเท่านั้น  สรุปแล้ว ปี 2026 น่าซื้อหรือน่าขาย?  ภาพรวมตอนนี้ยังดูเป็นบวก สำหรับทองคำและเงิน โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่หน้างานก็สามารถเปลี่ยนได้เสมอตามสไตล์ตลาดที่เคลื่อนที่ด้วยปัจจัยมหภาค ปี 2026 จึงน่าจะเป็นปีที่ราคาวิ่งตามสัญญาณนโยบายและข้อมูลเศรษฐกิจแบบติดขอบสนาม ใครที่เป็นสายเทรดต้องติดตามความเชื่อมั่นของตลาดให้ดี 

article-thumbnail

2025-12-18 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตลาดเกิดอะไรขึ้นในปี 2025? หุ้นเด่น หุ้นร่วง และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

ถ้าปี 2024 คือการรอจังหวะ ปี 2025 คือการปรับฐานราคาครั้งใหญ่  ตลอดทั้งปี ตลาดมีการสลับสับเปลี่ยนธีมกันไปมาทั้งในแง่ของ :   หุ้นเติบโต (Growth) ชะลอตัวลงพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาแรงอีกครั้ง  สินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาเป็นที่ต้องการ  ความผันผวนยังคงสูงลิ่วในทุกสินทรัพย์  ปี 2025 ไม่ได้มีเทรนด์เดียวที่ชัดเจน แต่มีทั้งผู้ชนะที่โดดเด่น หุ้นที่ร่วงแรง และการเปลี่ยนผู้นำตลาดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว3 อันดับหุ้นที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2025   Top 3 หุ้นเด่น ประจำปี 2025  แม้ว่ากลุ่มผู้นำในตลาดจะหมุนเวียนไปมาตลอดปี แต่มี 3 หุ้นที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างต่อเนื่องและทำผลงานได้ดีกว่าตลาดโดยรวม  Micron Technology (MU)  Micron (MU) พุ่งขึ้นราว 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนั้น  Micron ได้รับแรงหนุนหลักจากความเชื่อมั่นครั้งใหม่ในวงจรเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งราคาหน่วยความจำที่นิ่งขึ้น ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ทำให้มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น และความคาดหวังเกี่ยวกับการลงทุนรอบใหม่ (capex) ช่วยเปลี่ยนมุมมองนักลงทุน ผลงานของ MU สะท้อนธีมใหญ่ในปี 2025 คือ ความแข็งแกร่งแบบเลือกสรรในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ไม่ใช่การเหมาซื้อทั้งกลุ่ม  Palantir Technologies (PLTR)  Palantir Technologies (PLTR) ทะยานขึ้นกว่า 200% จากจุดต่ำสุดในปี 2025 คล้ายกับ MU  Palantir ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคนพูดถึงมากที่สุดแห่งปี การมุ่งเน้นที่สัญญาภาครัฐ ซอฟต์แวร์องค์กร และการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้มันยังอยู่ในความสนใจแม้ในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมมีการปรับฐาน ความแข็งแกร่งของ PLTR ตอกย้ำว่า โมเดลรายได้ประจำและกรณีการใช้งานที่ชัดเจน คือสิ่งที่ตลาดให้รางวัลเมื่อนักลงทุนเลือกสรรมากขึ้น  Advanced Micro Devices (AMD)  AMD ได้เปรียบจากการวางตำแหน่งในตลาดศูนย์ข้อมูล (Data Centers) อีกทั้งยังมี AI และคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง แม้ว่าการแข่งขันในตลาดชิปจะดุเดือด แต่ AMD ก็สามารถรักษาความเกี่ยวข้องในกระแส AI ได้ และหลีกเลี่ยงการแกว่งตัวของความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงที่เห็นในหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ3 อันดับหุ้นที่ขาดทุนสูงสุดในปี 2025 […]

article-thumbnail

2025-12-12 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

Santa Claus Rally ส่อแววสะดุด: ทั่วโลกลุ้นการตัดสินใจของเฟด 

สำคัญ: เนื้อหานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Santa Claus Rally เท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และ CFD มีความเสี่ยงสูงต่อการขาดทุน  เทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว พร้อมกับสิ่งที่ชาววอลล์สตรีทรอคอย นั่นคือ Santa Claus Rally (ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นส่งท้ายปี)  แต่ปีนี้ ความสุขนั้นอาจต้องเจอทางตัน เพราะมีด่านสำคัญคือ การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยของเฟด ในวันที่ 11 ธันวาคม ทำให้นักเทรดทั่วโลกตั้งคำถามเดียวกันว่า เฟดจะยอมเปิดทางให้เกิด Santa Claus Rally หรือจะดับฝันนี้ลง?  ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่าเฟดจะชี้ชะตาเดือนธันวาคมได้อย่างไร เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการแรลลี่รอบนี้คืออะไร และทำไมมันถึงมีสถิติที่น่าสนใจขนาดนี้  Santa Claus Rally คืออะไร?  Santa Claus Rally หมายถึงช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวเป็นขาขึ้นตามประวัติศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมยาวไปจนถึงสองวันแรกของเดือนมกราคม นี่คือหนึ่งในเทรนด์ตามฤดูกาลที่โด่งดังที่สุดของวอลล์สตรีท โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของบรรยากาศการลงทุน, แรงขายเพื่อลดหย่อนภาษีที่น้อยลง, การมองโลกในแง่ดีช่วงวันหยุด, และปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง  ทำไมถึงเกิดขึ้น  นักวิเคราะห์ตลาดมักชี้ไปที่ปัจจัยผสมผสานเหล่านี้: แม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังเป็นที่ถกเถียง แต่ข้อมูลผลตอบแทนนั้นยากที่จะปฏิเสธ  สถิติย้อนหลัง: ธันวาคมคือหนึ่งในเดือนที่แข็งแกร่งที่สุดของตลาด  1. ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.3% นับตั้งแต่ปี 1927  ทำให้ธันวาคมเป็นเดือนที่แกร่งที่สุดเดือนหนึ่งของปี ชนะกันยายนที่มักจะแย่ที่สุดแบบขาดลอย  2. โอกาสชนะสูงถึง 72.5% เกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมในอดีต จบลงด้วยการปิดบวก (เขียว)  นี่คืออัตราการชนะที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ โดยเกือบ 3 ใน 4 ของเดือนธันวาคมปิดตลาดในแดนเขียว  นี่คือเหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบพูดว่า: “เมื่อซานต้ามาเยือนวอลล์สตรีท หุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น”  ทำไม Santa Claus Rally ถึงมีความเสี่ยงในปี 2025?  ปกติแล้ว ปัจจัยฤดูกาลจะช่วยดันตลาดได้สบายๆ ตราบใดที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ มาขวางทาง แต่ปีนี้มี “ก้อนหินก้อนใหญ่” ขวางอยู่  นั่นคือ “ประชุมเฟด 11 ธันวาคม”  ตลาดไม่ได้แค่จับตามอง แต่กำลัง “กลั้นหายใจ” ลุ้นตัวโก่ง  ทำไมเฟดถึงคุมเกมรอบนี้:  1. ลดดอกเบี้ย vs คงดอกเบี้ย : สถาการณ์ตลาดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้   ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต้นปี 2026 สินทรัพย์เสี่ยงจะพุ่งทยานแน่ๆ (คอนเฟิร์ม Rally)   แต่ถ้าเฟดมาสายแข็ง (Hawkish) เตือนเรื่องเงินเฟ้อ การแรลลี่อาจกลายเป็นการเทขายหนีตายแทน  2. นักลงทุนต้องการความชัดเจน  หุ้นที่ขึ้นมาตอนนี้ยังดู “กล้าๆ กลัวๆ” ถ้าเฟดให้สัญญาณ “ไปต่อ” เงินที่รอนอกสนามจะไหลกลับเข้ามาทันที  3. Bond yields คือตัวกำหนด  yields ต่ำ = หุ้นวิ่ง   yields สูง = กดดันหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง   ซึ่งคำพูดเฟดจะสั่งซ้ายหันขวาหันให้ยีลด์ได้ทันที  ตลาดต้องการอะไรจากเฟด เพื่อฉลองให้กับ Rally?  เพื่อให้กราฟพุ่งรับปีใหม่ นักลงทุนขอแค่:  1. โทนที่ผ่อนคลาย  แค่ยืนยันว่า “ขาขึ้นดอกเบี้ยจบแล้ว” ก็พอใจแล้ว  2. คลายกังวลเงินเฟ้อ  ถ้าเฟดมองว่าเงินเฟ้อลงอย่างยั่งยืน ตลาดจะกล้าลุย  […]