อัปเดตบริการIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2025-11-06 | อัปเดตผลิตภัณฑ์

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐ รอบวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 

เราขอแจ้งให้คุณทราบถึงการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐบางรายการ เนื่องจากใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ  เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงประกาศผลประกอบการ อัตรามาร์จิ้นสำหรับหุ้นที่ระบุด้านล่างจะถูกปรับเป็น 20% (เลเวอเรจ 1:5) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ก่อนเวลา 20:30 น. (UTC+7)  วิธีการดำเนินการ  การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าคุณต้องรักษา อัตรามาร์จิ้น 20% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมด ซึ่งเท่ากับการลดเลเวอเรจลงเป็น 1:5 การปรับนี้มีขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงก่อนการประกาศผลประกอบการ   หุ้นที่ได้รับผลกระทบ – รอบปัจจุบัน  ชื่อหุ้น  สัญลักษณ์  วันที่ประกาศผลประกอบการ  Occidental Petroleum Corp  OXY  7/11/2568  Cisco Systems Inc  CSCO  Walt Disney Co/The  DIS  สิ่งที่คุณควรดำเนินการ  หากคุณถือสถานะใน CFDs หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบ:  หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนี้ หรือหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทีมสนับสนุนของเราได้ทุกเมื่อ 

อ่านต่อ

การอัปเดต MT4 Demo 5: การจัดเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อ 

เพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์การเทรดของคุณ เราจะดำเนินการบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ตามกำหนดของ MT4 Demo 5 ตั้งแต่เวลา 14:00 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ถึงเวลา 14:00 น. ของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 (UTC+7)   ในช่วงเวลาดังกล่าว เราจะทำการจัดเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อทั้งหมดที่ทำรายการก่อนวันที่ 11 ตุลาคม 2568  เราขออภัยในความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้น และขอขอบคุณสำหรับความเข้าใจของคุณ ในขณะที่เรากำลังพัฒนาบริการของเรา  หากคุณมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือ โปรดติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของเราได้ตลอดเวลา 

2025-10-31 | พัฒนาระบบ

การอัปเดต MT4 Demo 5: การจัดเก็บข้อมูลคำสั่งซื้อ

เพื่อปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์ในการเทรดของคุณ เราจะดำเนินการปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์ MT4 Demo 5 ตั้งแต่ 14:00 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568

2025-10-31 | พัฒนาระบบ

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯ รอบวันที่ 31 ตุลาคม 2568 

เราขอแจ้งให้คุณทราบว่า จะมีการปรับข้อ กำหนดด้านมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯหลายรายการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ  เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประกาศผลประกอบการ อัตราหลักประกันสำหรับหุ้นที่ระบุด้านล่างจะถูกปรับชั่วคราวเป็น 20% (เลเวอเรจ 1:5) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ก่อนเวลา 20:30 น. (UTC+7)   วิธีการดำเนินการ  การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า คุณจะต้องวางหลักประกันเท่ากับ 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากับการลดเลเวอเรจเป็น 1:5 การปรับนี้มีขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการประกาศผลประกอบการ  หุ้นที่ได้รับผลกระทบ – รอบปัจจุบัน  ชื่อหุ้น  สัญลักษณ์  วันที่ประกาศผลประกอบการ  Pfizer Inc  PFE  31/10/2568  Uber Technologies Inc  UBER  Robinhood Markets Inc  HOOD  Beyond Meat Inc  BYND  QUALCOMM Inc  QCOM  ConocoPhillips  COP  สิ่งที่คุณควรดำเนินการ  หากคุณถือสถานะใน CFDs หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบ:  หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนี้ หรือหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทีมสนับสนุนของเราได้ทุกเมื่อ 

2025-10-30 | สารจาก D Prime

การอัปเดตตารางการซื้อขาย: การเปลี่ยนแปลงเวลาตามแสงอาทิตย์ของยุโรป 

เราขอแจ้งให้คุณทราบว่า ยุโรปจะสิ้นสุดการใช้เวลาออมแสง (Daylight Saving Time – DST) และเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ขณะที่ สหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนตามในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ส่งผลให้เวลาการซื้อขายของตราสารบางประเภทมีการปรับเปลี่ยนตามไปด้วย   กรุณาตรวจสอบตารางเวลาเทรดที่ปรับปรุงใหม่ด้านล่างสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบ  เวลาซื้อขายที่ปรับเปลี่ยนสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบ:  ประเภทสินทรัพย์  สัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์  เวลาทำการซื้อขาย (UTC+7)  เวลาปิดตลาด (UTC+7)  Spot Index CFDs  EU50  จันทร์ 14:01 ~ เสาร์ 03:58  ปิดทุกวัน 03:58 ~ 14:01  FRA40  Futures CFD  DAX  จันทร์ 07:15 ~ เสาร์ 04:00  ปิดทุกวัน 04:00 ~ 07:15  หมายเหตุสำคัญ:  หากมีคำถามเพิ่มเติม โปรดติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าของเรา 

2025-10-24 | ชั่วโมงการซื้อขาย

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯ รอบวันที่ 24 ตุลาคม 2568

เราขอแจ้งให้คุณทราบว่า จะมีการปรับข้อ กำหนดด้านมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯหลายรายการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 

2025-10-23 | อัปเดตผลิตภัณฑ์

การเคลื่อนไหวของตลาดIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2024-11-28 | การเคลื่อนไหวของตลาด

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? 

แบล็กฟรายเดย์ vs. ไซเบอร์มันเดย์ : วันไหนส่งผลต่อตลาดมากกว่ากัน? ทุกปี นักช้อปต่างรอคอยแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์อย่างใจจดใจจ่อ เพื่อคว้าข้อเสนอสุดพิเศษ ในขณะที่นักลงทุนก็มองเหตุการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน แต่ด้วยมุมมองที่ต่างออกไป เพราะสองมหกรรมลดราคานี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเติมสินค้าลงตะกร้าเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคและแนวโน้มของตลาดอีกด้วย แต่คำถามสำคัญคือ: ระหว่างแบล็กฟรายเดย์และไซเบอร์มันเดย์ วันไหนส่งผลต่อตลาดหุ้นมากกว่ากัน?  ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ว่าสองวันนี้เปรียบเทียบกันอย่างไร ทำไมนักลงทุนถึงให้ความสำคัญ และหุ้นตัวไหนที่ควรอยู่ในลิสต์ที่คุณต้องจับตามอง  ศึกประชัน แบล็กฟรายเดย์ ปะทะ ไซเบอร์มันเดย์  จากข้อมูลของสหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ (NRF) ในปี 2566 มีผู้บริโภคถึง 200.4 ล้านคนที่ออกมาช้อปปิ้งในช่วงวันหยุด 5 วัน ตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าจนถึงไซเบอร์มันเดย์ ซึ่งทำลายสถิติปี 2565 ที่มีจำนวน 196.7 ล้านคน  แบล็กฟรายเดย์ ถือเป็นการเปิดฤดูกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุด ที่มักเกี่ยวข้องกับการลดราคาที่หน้าร้าน แม้ว่าการช้อปปิ้งออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน โดยทั่วไป แบล็กฟรายเดย์ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์ เช่น Walmart (NYSE: WMT) และ Target (NYSE: TGT) ที่แข่งขันกันด้วยโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า  ไซเบอร์มันเดย์ เป็นคู่แข่งในฝั่งออนไลน์ มุ่งเน้นการช้อปปิ้งผ่านอีคอมเมิร์ซ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย […]

อ่านต่อ
article-thumbnail

2024-11-22 | การเคลื่อนไหวของตลาด

การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของ Netflix ปี 2567

รายงานปริมาณการซื้อขายของ Doo Prime ประจำเดือนตุลาคม 2567 

รายงานปริมาณการซื้อขายของ Doo Prime ประจำเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมการซื้อขายที่แข็งแกร่งและประสิทธิภาพที่มั่นคงบนแพลตฟอร์มของเรา  ภาพรวมปริมาณการซื้อขายเดือนตุลาคม2567    ตามรายงานระบุว่า ปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของ Doo Prime ในเดือนตุลาคม 2567 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 176.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 37.44% จากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน (ADV) ในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 5.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 33.01% จากเดือนกันยายน  จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง และการไม่ชัดเจนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การลงทุนในทองคำพุ่งสูงขึ้นทำลายสถิติในเดือนตุลาคม  นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปได้ดำเนินรอยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้น ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนและผลักดันกิจกรรมการซื้อขายให้ถึงระดับสูงสุดใหม่  เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน (ADV) ของ Doo Prime ได้เพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ปริมาณการซื้อขายรวมของ Doo Prime อยู่ที่ 1,160.10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ […]

2024-11-13 | การเคลื่อนไหวของตลาด

11.11 ที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว: หุ้นตัวไหนที่น่าจับตามอง? 

เทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ในปี 2567 เริ่มเร็วขึ้นกว่าที่เคย!  Douyin ได้เริ่มโปรโมชั่น 11.11 ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ตามมาด้วย JD และ Tmall ที่ได้เริ่มในวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งเร็วกว่าปีที่แล้วถึงสิบวัน ระยะเวลาที่ขยายเพิ่มขึ้นนี้ทำให้ 11.11 ปี 2567 กลายเป็นเทศกาลช้อปปิ้งที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา  นอกเหนือจากการขยายระยะเวลาแล้ว แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยังหันมาเน้นช่วยลดภาระให้กับผู้ค้า แทนที่จะเน้นการลดราคาจนเกิด “สงครามราคา” อย่างที่เคยเป็น ในส่วนของข้อมูลยอดขายรอบแรกของเทศกาล 11.11 ได้เผยออกมา ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เริ่มได้รับความสนใจในตลาด  ในโอกาสครบรอบ 16 ปีของเทศกาลช้อปปิ้ง 11.11 ฟีเจอร์และแนวโน้มใหม่ ๆ กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับงานในปีนี้ หุ้นตัวไหนบ้างที่มีโอกาสได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการพัฒนานี้? และนักลงทุนจะสามารถวางแผนให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุดจากกระแสของเทศกาลนี้ได้อย่างไร? มาร่วมศึกษาไปพร้อมกัน  การไร้ซึ่งสงครามราคา: มีอะไรใหม่สำหรับ 11.11 ในปีนี้?  การเปลี่ยนแปลงสำคัญปีนี้คือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ร่วมมือกันเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการชำระเงินมากขึ้นกว่าเดิม Wu Jia รองประธานของ Alibaba และหัวหน้าฝ่าย […]

2024-11-07 | การเคลื่อนไหวของตลาด

Trick or Trade: 3 หุ้นค้าปลีกที่น่าจับตามองในวันฮาโลวีนนี้! 

Trick or Trade วันฮาโลวีนไม่ใช่แค่การสวมชุดแฟนซี รับลูกกวาด และการตกแต่งที่น่าขนลุกเพียงเท่านั้น แต่มันยังเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ในการกอบโกยผลประโยชน์จากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในตลาดค้าปลีก  เมื่อวันฮาโลวีนใกล้เข้ามา บริษัทบางแห่งมีความสามารถในการดึงดูดผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งสร้างโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักลงทุนในภาคค้าปลีก  บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 3 หุ้นค้าปลีกที่น่าจับตามอง และจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายในช่วงฮาโลวีน พร้อมสำรวจโอกาสในการซื้อขายที่น่าสนใจสำหรับแต่ละตัว  การคาดการณ์การใช้จ่ายในวันฮาโลวีน 2567  ตามข้อมูลจากสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation) การใช้จ่ายในวันฮาโลวีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า ปีนี้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้จ่ายอย่างมหาศาลอีกครั้ง โดยมีการคาดการณ์เกินกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากผู้คนลงทุนในชุดแฟนซี ลูกกวาด การตกแต่ง และอุปกรณ์จัดงานปาร์ตี้ ผู้ค้าปลีกที่เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล สินค้าจัดงานปาร์ตี้ และของตกแต่งในราคาย่อมเยาว์จะได้รับประโยชน์สูงสุด โดยปีนี้มีความสนใจในประสบการณ์วันฮาโลวีนมากยิ่งขึ้น  ดังนั้น มาดูสามหุ้นค้าปลีกที่มีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีในช่วงวันฮาโลวีนนี้กันเถอะ  หุ้นค้าปลีก 3 ตัวที่น่าจับตามองในวันฮัลโลวีนนี้  1. Amazon, Inc. (NASDAQ: AMZN)  ทำไมเทรดเดอร์ควรจับตามอง  Amazon กลายเป็นแหล่งที่ผู้บริโภคเลือกใช้สำหรับความต้องการในวันฮาโลวีน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์หลากหลายและการจัดส่งที่รวดเร็ว ตั้งแต่ชุดแฟนซีไปจนถึงการสั่งซื้อขนมหวานจำนวนมาก โปรแกรม Prime ของ Amazon และตัวเลือกการจัดส่งที่รวดเร็วตอบสนองความต้องการในช่วงปลายฤดูกาล […]

2024-10-31 | การเคลื่อนไหวของตลาด

ข้อมูลเชิงลึกIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2025-11-06 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

เราถาม ChatGPT ว่า: กระแส AI ครั้งนี้คือฟองสบู่ Dot Com ยุคใหม่หรือไม่? 

คำตอบสั้นๆ คือ ยังไม่ใช่… อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงตอนนี้ แต่เรากำลังเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ   กระแส AI กำลังร้อนแรงแบบฉุดไม่อยู่ ชิปใหม่ๆ โมเดลที่ฉลาดขึ้น และมูลค่าตลาดระดับล้านล้านดอลลาร์เกิดขึ้นทุกหนแห่ง  นักลงทุนเรียกมันว่า “อินเทอร์เน็ตรุ่นถัดไป” แต่ประวัติศาสตร์กำลังส่งสัญญาณเตือนว่า เราเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว   จากหุ้น AI ที่พุ่งขึ้นจนกราฟแทบจะเป็นเส้นโค้งพาราโบลา คล้ายกับฟองสบู่ Dot Com ปี 1999 ความคล้ายคลึงนั้นยากจะมองข้ามได้ คำถามคือ กระแส AI Boom ครั้งนี้จะจบลงด้วยการปรับฐานอย่างนุ่มนวล หรือจะกลายเป็น วิกฤตเทคโนโลยีครั้งใหญ่ กันแน่  มาดูไปพร้อมกันกับกราฟ ข้อมูลจริง และมุมมองจากบุคคลสำคัญอย่าง Bill Gates และ Jerome Powell ประธานเฟด ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับความคลั่งไคล้ AI ในยุคนี้  กระแส AI Boom ชวนให้นึกถึงอดีต  การพุ่งขึ้นของหุ้นในกลุ่ม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดูคล้ายกับฟองสบู่ในปี 1999 อย่างน่าประหลาด ในเวลานั้น “อินเทอร์เน็ต” คืออนาคต แต่วันนี้ “AI” คืออนาคตใหม่  ในทั้งสองยุค นักลงทุนทุ่มเงินมหาศาลเข้าสู่โมเดลธุรกิจที่ยังไม่ได้พิสูจน์ความสำเร็จ ครั้งนั้นคือเว็บไซต์ ส่วนครั้งนี้คือศูนย์ข้อมูล ชิป และอัลกอริทึม   อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกกระแสความร้อนแรงจะจบลงเหมือนกัน ต่างจากฟองสบู่ Dot Com Boom ผู้นำในยุค AI อย่าง Nvidia, Microsoft, AMD, Amazon และ Alphabet ล้วนเป็นบริษัทที่มีกำไรและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง นั่นคือความแตกต่างสำคัญจากฟองสบู่ปี 2000 ซึ่งในตอนนั้นบริษัทจำนวนมากยังแทบไม่มีรายได้ด้วยซ้ำ  เรายังอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นแบบพาราโบลาก่อนหรือไม่  ลองดูกราฟนี้สิ  กระแสการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม AI ตอนนี้ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดของปี 2000 เมื่อเทียบกับฟองสบู่ Dot Com นั่นหมายความว่า เราอาจได้เห็นการพุ่งขึ้นรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดการปรับฐานใหญ่ในตลาดหุ้น AI  นี่คือพฤติกรรมเดียวกันกับตอนที่ฟองสบู่อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในอดีต  ดังนั้น แม้เรายังไม่ถึงจุดสูงสุดของรอบนี้ แต่รูปแบบที่เกิดขึ้นกลับดูคุ้นตาอย่างมาก ราวกับกำลังจะเกิด “การพุ่งขึ้นก่อนการย่อตัวครั้งใหญ่” อีกครั้ง   อัตราส่วน Nasdaq ต่อ Dow: ภาพซ้ำของปี 2000  อัตราส่วน Nasdaq-to-Dow บอกเรื่องราวที่ชัดเจน   หุ้นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำผลตอบแทนได้เหนือกว่าหุ้นอุตสาหกรรมและการเงินอย่างทิ้งห่าง คล้ายกับช่วง Dot Com Boom ในอดีต  ทุกครั้งที่อัตราส่วนนี้พุ่งแรงขนาดนี้ ประวัติศาสตร์มักบ่งชี้ว่าการปรับฐานกำลังจะตามมา อย่างไรก็ตาม รอบนี้มีความแตกต่างอยู่บ้าง เพราะฟองสบู่ AI Bubble ถูกขับเคลื่อนด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจริง ไม่ใช่แค่ความฝันบนกระดาษ    ทั้ง คลาวด์คอมพิวติ้ง ศูนย์ข้อมูล และความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้น ล้วนสร้างการเติบโตที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงภาพลวงตาทางเทคโนโลยี  อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในหุ้น AI ชั้นนำอย่าง Nvidia, Microsoft และ AMD ก็อาจหมายความว่าหากตลาดเริ่มชะลอตัว ผลกระทบจะรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  Bill Gates เตือนถึงฟองสบู่ AI ระยะเริ่มต้น  แม้แต่ Bill Gates ก็เห็นสัญญาณว่าฟองสบู่ AI อาจกำลังก่อตัวขึ้น เขากล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนนี้ว่า เรากำลังอยู่ใน “ช่วงเริ่มต้นของฟองสบู่ AI”  เหตุผลของเขาคือ มีสตาร์ทอัพจำนวนมากที่กำลังวิ่งตามเป้าหมายเดียวกัน พวกเขากำลังสร้าง เครื่องมือ AI ที่อาจไม่สามารถทำกำไรได้ในอนาคต และหากย้อนดูประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่บริษัทต่างๆ เริ่มประกาศว่า “เราขับเคลื่อนด้วย AI” มักจะเกิดการคัดกรองครั้งใหญ่ในตลาดตามมา  แต่ Gates ก็เสริมด้วยว่า ในรอบนี้ “ผู้ชนะจะยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” เช่นเดียวกับที่ Amazon และ Google รอดพ้นจากวิกฤต Dot Com Crash ไปได้ หุ้น AI ชั้นนำเพียงไม่กี่ตัวในตอนนี้อาจกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางของทศวรรษหน้า  เขากล่าวไว้ว่า: “เราจะได้เห็นการล้มเหลว แต่ผู้ที่อยู่รอดจะเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ให้กับทุกสิ่ง”  Powell โต้กลับ: “AI ยังไม่ใช่ฟองสบู่”  Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เห็นต่าง เขากล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า “AI ไม่ใช่ฟองสบู่เหมือนยุค Dot Com”  เหตุผลของเขาคือ การเติบโตด้านผลิตภาพในปัจจุบันสามารถวัดผลได้จริง AI ไม่ได้เป็นเพียงกระแส hype แต่กำลังขับเคลื่อนการลงทุนในภาคธุรกิจจริง โดยเฉพาะในด้านระบบอัตโนมัติ โลจิสติกส์ และซอฟต์แวร์  มุมมองของ Powell สอดคล้องกับจุดยืนของเฟดที่มองว่า กระแส AI Boom ในตอนนี้มีรากฐานจากโครงสร้างจริงมากกว่าการเก็งกำไร กล่าวโดยสรุป แม้ว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ในระดับสูง แต่ปัจจัยพื้นฐานก็แข็งแกร่งกว่ายุคปี 1999 มาก  […]

อ่านต่อ

ตลาดคริปโตสูญ $19B: สัญญาณการฟื้นตัวครั้งใหญ่เริ่มขึ้นแล้วหรือไม่? 

ตลาดคริปโตเพิ่งเตือนทุกคนอีกครั้งว่า “ความผันผวน” ไม่เคยจากไปไหนจริงๆ มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหายไปภายในไม่กี่วัน เมื่อบิตคอยน์ อีเธอเรียม และอัลท์คอยน์ร่วงลงพร้อมกัน เกิดเป็น “การเทขายครั้งใหญ่” ที่ทำให้นักเทรดตื่นตระหนกและความเชื่อมั่นในตลาดดิ่งลง  แต่ที่น่าสนใจคือ ท่ามกลางความตื่นกลัวทั้งหมดนี้ มีสัญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่อาจไม่ใช่จุดจบของตลาด แต่อาจเป็นการปูทางไปสู่การกลับตัวครั้งใหญ่รอบใหม่  อะไรเป็นชนวนให้ตลาดคริปโตดิ่งหนัก  การเทขายเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวแบบ “ลดความเสี่ยง” คลาสสิก ผสมกับความกังวลทางเศรษฐกิจมหภาค ข่าวลือเรื่องสภาพคล่องตึงตัว และการปิดสถานะเกินเลเวอเรจอย่างเร่งด่วน  ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐยังคงเผชิญภาวะชัตดาวน์ และตลาดเตรียมรับมือกับการลดดอกเบี้ยจากเฟด นักลงทุนเริ่มเร่งลดความเสี่ยงออกจากพอร์ต เมื่อราคาบิตคอยน์หลุดแนวรับสำคัญ จึงเกิดการขายทำลายพอร์ตตามมาอย่างต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์ในสถานะเลเวอเรจ ถูกล้างออกภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง  ฝั่งอัลท์คอยน์ได้รับผลกระทบหนักที่สุด หลายเหรียญร่วงกว่า 30–40% ภายในชั่วข้ามคืน อย่างไรก็ตาม ขณะที่นักลงทุนรายย่อยตื่นตระหนก ข้อมูลบนเชนกลับสะท้อนภาพที่ต่างออกไป กลุ่มวาฬหรือผู้ถือรายใหญ่กำลังทยอย “เก็บเหรียญ” เข้าพอร์ตในราคาที่ลดลง  มาโครพบกับโมเมนตัม: ทำไมสิ่งนี้ถึงสมเหตุสมผล  สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคในตอนนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน และนั่นแหละคือช่วงเวลาที่คริปโตมักจะแสดงปฏิกิริยารุนแรงเกินจริง  เงินเฟ้อที่ดื้อรั้น ความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยที่หลากหลาย และความตึงเครียดด้านสภาพคล่องทั่วโลก ทำให้นักเทรดยังไม่แน่ใจว่าควรวางกลยุทธ์เพื่อการฟื้นตัว หรือเน้นการป้องกันความเสี่ยงดี โดยทั่วไป […]

2025-10-16 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ความกังวลเรื่องรัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์และการลดดอกเบี้ย: โลหะเงินจะพุ่งถึง $75 ได้ไหม? 

รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการแล้ว ขณะที่ตลาดกำลังจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตอนนี้ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยไปแล้ว เงินเฟ้อยังคงทรงตัวในระดับสูง และค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ส่งผลให้โลหะเงินเริ่มกลับมาฟื้นตัว  สภาพคล่องกำลังหลั่งไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “สูตรมหภาค” แบบเดียวกับที่เคยทำให้เกิดการปรับขึ้นครั้งใหญ่ของราคาโลหะเงินในอดีต แต่ครั้งนี้ กราฟชี้ให้เห็นสัญญาณบางอย่างที่อาจยิ่งใหญ่กว่าเดิม  โลหะเงินจะสามารถทำลายคำสาป 40 ปี และพุ่งทะลุถึง $75 ได้หรือไม่?  ฟังดูเหมือนความฝัน แต่เมื่อปีที่แล้ว ทองคำแตะ $3,000 ซึ่งตอนนั้นก็มีคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  การคาดการณ์ราคาโลหะเงิน ปี 2025  เริ่มจากสิ่งที่เห็นได้ชัด: ราคาของโลหะเงินได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ความต้องการอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และกระแสการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยที่กลับมาอีกครั้ง  จากการคาดการณ์หลายสำนักเกี่ยวกับราคาโลหะเงินในปี 2025 พบว่าตอนนี้ราคากำลังเข้าใกล้ระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2011 ความแตกต่างในรอบนี้คือ “ภาวะตึงตัวทางเศรษฐกิจมหภาค” ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ “นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น”  เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย ผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง และโลหะมีค่าต่างๆ เช่น โลหะเงิน จะยิ่งโดดเด่นขึ้น เพราะในสภาวะที่อัตราผลตอบแทนต่ำ สินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ยจะดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าเดิม เมื่อรวมกับปัญหาการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยิ่งกลายเป็น “ค็อกเทลของความกลัว สภาพคล่อง และโอกาส” ที่พร้อมขับเคลื่อนตลาด  หากคุณติดตามแนวโน้มราคาของโลหะเงินในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแรงส่งของตลาดยังคงต่อเนื่อง และทุกครั้งที่มีสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือท่าทีผ่อนคลายจาก Fed ราคาของโลหะเงินก็มักจะขยับขึ้นอีกขั้น  ทองคำ vs โลหะเงิน: เกมระยะยาว  กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า ทองคำมีผลงานเหนือกว่าโลหะเงินอย่างมากตั้งแต่ปี 1980 โดยมูลค่าที่ปรับตามดัชนีของทองคำเพิ่มขึ้นเกือบ 7 เท่า ขณะที่โลหะเงินยังตามหลังอยู่มาก  แต่หากสังเกตให้ดี ทั้งสองโลหะกำลังแสดงให้เห็นถึง รูปแบบการฟื้นตัวแบบก้นกลม ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกระบุด้วยเส้นโค้งสีเขียวในกราฟ  การฟื้นตัวรอบแรกเกิดขึ้นหลังวิกฤตปี 2011 และรอบที่สอง ซึ่งก็คือช่วงที่เรากำลังอยู่ตอนนี้ มีลักษณะคล้ายกันมาก ทองคำได้ทะยานขึ้นในแนวตั้งไปแล้ว ขณะที่โลหะเงินกำลังสร้างรูปแบบคล้ายกระจกสะท้อน อาจบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวตามมาช้ากว่า  ลูกศรสีม่วงแบบจุดในกราฟ คือแนวโน้มที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจเป็น การเทรดแบบกลับสู่ค่าเฉลี่ย ที่โลหะเงินเริ่มไล่ตามช่องว่างด้านผลตอบแทนที่ยาวนานหลายทศวรรษของทองคำ  หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ราคาโลหะเงินที่ $75 อาจไม่ไกลเกินเอื้อม และอาจเป็น “การล้างแค้น” ที่รอคอยมานานของโลหะเงินก็ได้  การต่อสู้ของโลหะเงินกับกำแพงราคา $50  กราฟนี้เล่าเรื่องของโลหะเงินได้ทั้งหมดในภาพเดียว  รูปแบบชัดเจนว่า โลหะเงินจะสร้างฐานราคาใหญ่ ทดสอบแนวต้านที่ $50 แล้วจะเกิดขึ้นเพียงสองทาง คือร่วงแรง หรือทะลุเข้าสู่ยุคใหม่  การปรับตัวขึ้นในรอบนี้มีปัจจัยที่แตกต่างออกไป ทำให้ฝั่งกระทิงยังคงมีความหวัง:  หากโลหะเงินสามารถทะลุแนวต้านที่ $50 ได้อย่างชัดเจน แรงโมเมนตัมอาจส่งให้ราคาทะยานขึ้นสู่ระดับจิตวิทยาที่ $75 ได้ไม่ยาก ตัวเลขนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม เพราะเป็นการปรับขึ้นประมาณ 50% จากจุดสูงสุดของรอบก่อนหน้า ซึ่งยังอยู่ในกรอบความผันผวนทางประวัติศาสตร์ของตลาด  ปัจจัยจากเฟด: การลดดอกเบี้ยอาจเป็นชนวนสำคัญ  ตลาดในขณะนี้กำลังคาดการณ์ว่าจะมีการ ลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปี 2025 ตามข้อมูลจาก FedWatch สำหรับโลหะเงิน นี่ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการพุ่งขึ้นของราคา  อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และเนื่องจากโลหะเงินมีการกำหนดราคาด้วยดอลลาร์โดยตรง จึงเป็นแรงหนุนในทันทีต่อทิศทางราคาของโลหะเงิน  ทุกการคาดการณ์ราคาหลักของโลหะเงินตั้งแต่ยุค 1980s แสดงรูปแบบที่คล้ายกัน คือ เมื่อเฟดผ่อนคลายนโยบาย โลหะเงินจะพุ่งขึ้น และเมื่อเฟดเข้มงวด ราคาจะชะลอตัว สำหรับรอบนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงผ่อนคลายอีกครั้ง แต่มีปัจจัยเสริมอย่างภาระหนี้ทั่วโลกที่สูงขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และความไม่แน่นอนทางการเมือง  นี่ไม่ใช่สภาวะปกติของตลาด แต่คือ พายุสมบูรณ์แบบสำหรับโลหะเงิน  โลหะเงินจะขึ้นถึง $75 ได้จริงหรือไม่?  ราคา $75 ยังไม่การันตี แต่ เป็นไปได้ โลหะเงินเคยแตะเกือบ $50 ในปี 2011 และหากคำนวณตามสัดส่วนของอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของดอลลาร์ในปัจจุบัน ระดับราคาที่เทียบเท่ากันจะอยู่ราว $70–$80  เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้  หากปัจจัยทั้งหมดนี้สอดคล้องกัน โลหะเงินอาจกลับมาทวงบัลลังก์ในฐานะ “โลหะแห่งประชาชน” ได้อีกครั้ง  เมื่อความกลัวมาพบกับสภาพคล่อง โลหะเงินจะเปล่งประกาย  ท่ามกลางภาวะการปิดหน่วยงานรัฐ การคาดการณ์การลดดอกเบี้ย และการที่โลหะเงินตามหลังทองคำมายาวนาน แนวโน้มของโลหะเงินในปี 2025 ดูร้อนแรงอย่างมาก  มันจะไปถึง $75 ได้หรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับว่าความตึงเครียดทางเศรษฐกิจนี้จะยืดเยื้อแค่ไหน  แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอน ยักษ์ที่หลับใหลอย่างโลหะเงินกำลังจะตื่นขึ้น และเมื่อมันตื่น ตลาดอาจต้องใส่แว่นกันแดดเตรียมรับแสงเจิดจรัสของมันไว้ได้เลย 

2025-10-10 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

3 เหตุผลที่ S&P อาจทะลุระดับ 7,000 ได้ 

ดัชนี S&P 500 ร้อนแรงมาตลอดทั้งปีนี้ ดัชนีขวัญใจวอลล์สตรีททำลายสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า และนักวิเคราะห์บางรายเริ่มคาดการณ์ว่าอาจพุ่งแตะ 7,000 ก่อนสิ้นปี ฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะเมื่อรวมปัจจัยการลดดอกเบี้ย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI ที่หยุดไม่อยู่ ปัจจัยทั้งหมดนี้กำลังเรียงตัวเพื่อหนุนตลาดให้ขึ้นไปได้อีก  มาดูกันว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ S&P 500 อาจพุ่งขึ้นต่อและอาจทะลุ 7,000 ก่อนสิ้นปีนี้มีอะไรบ้าง  1. การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจเป็นแรงหนุนให้ตลาดพุ่ง  แรงขับเคลื่อนแรกและชัดเจนที่สุด: การลดดอกเบี้ย  ธนาคารกลางสหรัฐ ได้เปลี่ยนท่าทีจากการคงดอกเบี้ยสูงไปสู่การผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว ขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลงทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ เมื่อดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนจะถอนเงินจากพันธบัตรและเงินสดไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และไม่มีที่ไหนดูดซับสภาพคล่องได้ดีเท่าตลาดหุ้นสหรัฐ  ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย หุ้นก็มักจะได้แรงหนุนระยะสั้นทันที เหมือนกับการฉีดอะดรีนาลีนเข้าสู่ตลาด ถึงแม้ว่าภาวะถดถอยอาจรออยู่ข้างหน้า แต่ระลอกแรกของสภาพคล่องที่ไหลเข้ามักจะดันให้หุ้นพุ่งขึ้นแรง  สำหรับดัชนี S&P 500 การลดดอกเบี้ยถือเป็น การจัดวางเพื่อการลงทุนแบบ Risk-On หากอัตราผลตอบแทน ยังคงถอยลง แรงดึงดูดก็จะไหลไปยังตลาดหุ้น และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับ 7,000  2. ผลประกอบการแข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น  เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ยอมถอย การเติบโตชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่าย อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และกำไรของบริษัทต่างๆ ยังคงออกมาดีกว่าที่คาดไว้  ตัวเลขกำไร Q2 และ Q3: นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดว่าจะชะลอตัว แต่หลายบริษัทกลับรายงานการเติบโตแบบ สองหลัก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ NVIDIA เป็นผู้นำ แต่ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บิ๊กเทคเท่านั้น ภาคอุตสาหกรรม การเงิน และแม้แต่ผู้บริโภคบางกลุ่มก็ยังสร้างความประหลาดใจด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาด  สิ่งนี้มีความสำคัญเพราะ S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีเชิงเก็งกำไร แต่เป็นตะกร้าที่สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวม เมื่อบริษัทต่างๆ รายงานผลกำไรที่แข็งแกร่ง นักลงทุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหุ้นสามารถรักษาระดับมูลค่าสูงไว้ได้  ความจริงแล้ว Goldman Sachs เพิ่งปรับเป้าหมาย S&P สิ้นปีขึ้นเป็น 6,800 โดยอ้างถึงการผสมผสานระหว่างการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งห่างจากระดับ 7,000 เพียง 200 จุดเท่านั้น  3. การเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่หยุดไม่อยู่  เหตุผลที่สาม และอาจจะทรงพลังที่สุด ก็คือ กระแส AI megatrend  ปัญญาประดิษฐ์กำลังพลิกโฉมทั้งตลาด NVIDIA รายงานรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ Palantir ได้รับสัญญาจากรัฐบาลจำนวนมาก และ Microsoft กับ Alphabet ก็กำลังนำ AI เข้ามาใช้ในทุกแพลตฟอร์มของตน นี่ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น การเติบโตของผลประกอบการจริงและกระแสเงินทุนจริง  นักลงทุนทั่วโลกกำลังเทเงินเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะไม่มีที่ไหนที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้ในระดับเดียวกัน และเมื่อดัชนี S&P 500 มีหุ้นเทคอยู่ในสัดส่วนสูง ความต้องการ AI นี้จึงดันทั้งดัชนีให้สูงขึ้น การลงทุนในกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ AI ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และซอฟต์แวร์  ลองมองแบบนี้: หากหุ้น AI ยังคงวิ่งต่อไป S&P 500 ก็จะถูกดันขึ้นตาม ไม่ว่าตลาดที่เหลือจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่คือคลื่นลูกใหญ่ที่ยกทุกอย่างขึ้น และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าคลื่นลูกนี้จะหยุด  ประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน  ดัชนี 7,000 การันตีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ความเสี่ยงยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจกลับมาร้อนแรงขึ้นอีก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือเฟดที่อาจสื่อสารผิดพลาด และอย่าลืมว่าตลาดไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่ภาพรวมชัดเจนแล้วว่า การผสมผสานกันของ การลดดอกเบี้ยของเฟด, ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และกระแส AI boom กำลังสร้างเงื่อนไขที่หลายคนมองว่าเป็นบวกต่อหุ้น   สำหรับนักลงทุน คำถามหลักก็คือ จะนำพาตัวเองไปอย่างไรในสภาพแวดล้อมนี้ หากดัชนีทดสอบจุดสูงสุดใหม่ได้จริง 

2025-09-30 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

ตัวเลขจ้างงานอ่อนแรง ดอกเบี้ยกำลังลด: เฟดจะกันไม่ให้ตลาดหุ้นร่วงเดือนกันยายนได้หรือไม่? 

ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนกันยายนท่ามกลางสัญญาณที่ปะปนกันไปทั่ว การเติบโตของการจ้างงานเริ่มชะลอตัว อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น และเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ยังคงกลับด้านอย่างรุนแรง ตามประวัติศาสตร์แล้ว ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณคลาสสิกที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักร  แต่ประเด็นสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าการเทขายจะเริ่มขึ้นทันที  ในความเป็นจริง ข้อมูลในอดีตชี้ว่า เราอาจได้เห็นแรงหนุนรอบสุดท้ายของการเก็งกำไร ในตลาดหุ้นและดัชนี ก่อนที่เฟสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะเริ่มขึ้น คำถามคือ เฟดกำลังรอช้าเกินไปหรือไม่?  ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแรง: เราเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วหรือยัง?  ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดจาก BLS ระบุว่า มีเพียง 48% ของอุตสาหกรรมที่เพิ่มตำแหน่งงานในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะตามสถิติแล้ว เมื่อการเติบโตของการจ้างงานต่ำกว่า 50% มักหมายถึงเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือใกล้จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า  ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.9% จากจุดต่ำสุดของรอบวัฏจักร หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1945 ทุกครั้งที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตามมาในเวลาไม่นาน  แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่สิ่งเหล่านี้คือการวางฉาก: ตลาดแรงงานกำลังสูญเสียแรงขับเคลื่อน ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังมากขึ้น และเฟดกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากขึ้นกว่าเดิม  ทางสองแพร่งของเฟด: สายเกินไปที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่?  ธนาคารกลางสหรัฐ กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากดำเนินนโยบายเข้มงวดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย ก็มักจะสายเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อมูลจาก Federal […]

2025-09-19 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

นธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น: ถึงเวลาที่นักลงทุนหุ้นต้องกังวลหรือยัง?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกพุ่งขึ้น แม้ธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย ทำไมนี่จึงสำคัญ และนักเทรดหุ้นควรจับตาอะไรในเดือนกันยายน 

2025-09-08 | วิเคราะห์ตลาดเชิงลึก

สารจาก Doo PrimeIconBrandElement

IconCommonNextดูเพิ่มเติม
article-thumbnail

2025-10-30 | สารจาก D Prime

การปรับมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯ รอบวันที่ 31 ตุลาคม 2568 

เราขอแจ้งให้คุณทราบว่า จะมีการปรับข้อ กำหนดด้านมาร์จิ้นสำหรับ CFDs หุ้นสหรัฐฯหลายรายการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ  เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพของตลาดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการประกาศผลประกอบการ อัตราหลักประกันสำหรับหุ้นที่ระบุด้านล่างจะถูกปรับชั่วคราวเป็น 20% (เลเวอเรจ 1:5) โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ก่อนเวลา 20:30 น. (UTC+7)   วิธีการดำเนินการ  การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า คุณจะต้องวางหลักประกันเท่ากับ 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากับการลดเลเวอเรจเป็น 1:5 การปรับนี้มีขึ้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเทรดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการประกาศผลประกอบการ  หุ้นที่ได้รับผลกระทบ – รอบปัจจุบัน  ชื่อหุ้น  สัญลักษณ์  วันที่ประกาศผลประกอบการ  Pfizer Inc  PFE  31/10/2568  Uber Technologies Inc  UBER  Robinhood Markets Inc  HOOD  Beyond Meat Inc  BYND  QUALCOMM Inc  QCOM  ConocoPhillips  COP  สิ่งที่คุณควรดำเนินการ  หากคุณถือสถานะใน CFDs หุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบ:  หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนี้ หรือหากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทีมสนับสนุนของเราได้ทุกเมื่อ 

อ่านต่อ

D Prime รายงานปริมาณการเทรดในเดือนสิงหาคม 2568

D Prime รายงานปริมาณการเทรด 139.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนสิงหาคม 2025 พร้อมชูสินค้าชั้นนำ ปัจจัยขับเคลื่อนตลาด และผู้เล่นเด่นท่ามกลางความผันผวน

2025-09-25 | ข่าวสาร D Prime

ย้อนบรรยากาศความมันส์จาก Traders Fair Thailand 2025 

เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกับนักเทรด นักลงทุน และผู้ที่สนใจด้านการเงินนับพันในงาน Traders Fair Thailand

2025-09-18 | กิจกรรม

D Prime Conecta LATAM 2025 กำลังจะมาถึงเมเดยิน 

เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า D Prime Conecta LATAM 2025 จะจัดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 ที่โรงแรมหรู Dann Carlton ที่เมเดยิน งานสัมมนาที่ทุกคนรอคอยนี้จะรวบรวมพาร์ทเนอร์ ลูกค้า และผู้นำในอุตสาหกรรมจากทั่วลาตินอเมริกา เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโต ความร่วมมือ และโอกาสใหม่ๆ  สำรวจโอกาสด้านพาร์ทเนอร์ชิปและโซลูชันการลงทุน  ที่งาน Conecta LATAM 2025 ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีสร้างธุรกิจ Introducing Broker (IB) ที่ยั่งยืนและสร้างรายได้ระยะยาว นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอศักยภาพของโซลูชันการลงทุนแบบ PAMM และวิธีที่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับทั้งนักเทรดและพาร์ทเนอร์   เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ  งานนี้จะมอบมุมมองล้ำค่าจากวิทยากรที่มีชื่อเสียง รวมถึง Juan de Dios และ Johanna Serna ด้วยประสบการณ์อันลึกซึ้งและผลงานที่พิสูจน์แล้ว พวกเขาพร้อมที่จะถ่ายทอดกลยุทธ์เชิงปฏิบัติและองค์ความรู้จริง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับการเติบโตของชุมชนนักเทรดในระลอกถัดไป   สร้างเครือข่ายกับผู้นำอุตสาหกรรม  นอกเหนือจากการเรียนรู้ Conecta LATAM 2025 ยังถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผู้เข้าร่วมจะได้พบปะและสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมวงการ ผู้นำธุรกิจ และนักนวัตกรรมจากทั่วลาตินอเมริกา […]

2025-09-17 | กิจกรรม

D Prime ติดอันดับ 3 ของโลกด้านผู้ใช้งานแอคทีฟ

รายงาน Finance Magnates Q2 ปี 2568 จัดอันดับ D Prime ติดท็อป 3 ของโลก พร้อมปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้น 20% สู่ระดับ 174 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

2025-08-29 | ข่าวสาร D Prime

ปริมาณการซื้อขายของ D Prime ในเดือนกรกฎาคม 2568 พุ่งแตะ 144 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

เดือนกรกฎาคม 2568 ถือเป็นเดือนสำคัญของ D Prime โดยมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและกิจกรรมการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ลูกค้าปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและนโยบายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หลักหลายประเภท  ภาพรวมปริมาณการซื้อขายเดือนกรกฎาคม 2568  จากข้อมูลพบว่าปริมาณการซื้อขายรวมของ D Prime ในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 144.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.07% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน และปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็เพิ่มขึ้น 8.45% แสดงถึงการมีส่วนร่วมของลูกค้าที่มากขึ้น  ปัจจัยขับเคลื่อนตลาด: ความไม่แน่นอนและความผันผวน  ตลาดในเดือนกรกฎาคมได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านการเจรจาการค้าและนโยบายภาษีศุลกากร รวมถึงความตึงเครียดทางการเมืองที่กระทบต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) การคาดการณ์เกี่ยวกับเส้นตายการขึ้นภาษีและข่าวลือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน Fed ได้เพิ่มความระมัดระวังต่อความเสี่ยงในตลาด  ภาวะนี้ทำให้ราคาทองคำแท่งในตลาดสปอตพุ่งขึ้นแตะ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ กระตุ้นการซื้อขายทองคำอย่างคึกคักท่ามกลางความผันผวน  ในขณะเดียวกัน การตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ในการเก็บภาษีศุลกากร 50% สำหรับผลิตภัณฑ์ทองแดง (ยกเว้นวัตถุดิบ) ทำให้ราคาทองแดงผันผวนอย่างรุนแรง ส่งผลให้การซื้อขายฟิวเจอร์สทองแดงพุ่งขึ้นอย่างมาก  ความยืดหยุ่นและโอกาสท่ามกลางความซับซ้อน  แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ D Prime ยังคงมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่เป็นมืออาชีพและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดได้อย่างเต็มที่  ปริมาณการซื้อขายในเดือนกรกฎาคมยังเพิ่มขึ้น 12.61% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตอกย้ำถึงความยืดหยุ่นของเราในสภาพแวดล้อมตลาดโลกที่ซับซ้อน  สินค้ายอดนิยมของนักลงทุนในเดือนกรกฎาคม  ความนิยมของนักลงทุนยังคงแข็งแกร่ง โดย XAU/USD, EUR/USD, […]

2025-08-14 | ข่าวสาร D Prime